ALLA ศึกษาลงทุนโซลาร์รูฟท็อปคาดชัดเจน Q3/61 ลดความเสี่ยงธุรกิจ พร้อมรุกตปท.ผลักดันสู่แบรนด์อินเตอร์

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 11, 2018 08:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล่า (ALLA) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทกำลังมองการขยายธุรกิจอื่น จากธุรกิจหลักที่เป็นผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยจะเป็นธุรกิจที่เข้ามาต่อยอดในส่วนธุรกิจบริการหลังการขาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 3/61 ซึ่งจะเป็นรายได้ที่มั่นคงช่วยลดความเสี่ยงในธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งเครนและรอกไฟฟ้า ที่มีข้อจำกัดเรื่องรับรู้รายได้ที่มีระยะเวลานาน 6 เดือน หรือ 1 ปี

เบื้องต้นบริษัทได้ดำเนินการผลิตและออกแบบแผงโซลาร์เซลล์ และได้ติดตั้งบนหลังคาคลังสินค้า (Warehouse) แห่งใหม่ของบริษัทที่อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในโรงงาน 6 พันตารางเมตร เพื่อนำร่องโมเดลการดำเนินธุรกิจ หากประสบความสำเร็จ บริษัทจะนำไปเสนอกับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นฐานลูกค้าของบริษัทที่มีอยู่จำนวนมาก โดยจะติดตั้งให้ฟรี บนข้อตกลงต้องทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทในระยะยาว ส่งผลทำให้บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มเติม

"เรามีการจำหน่ายเครนให้กับอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าค่อนข้างมาก ทำให้เรามองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ โดยเราถือว่ามีความเชี่ยวชาญ เนื่องด้วยเราเป็นบริษัทที่เป็นวิศวกรรม และเป็นบริษัทเดียวในเมืองไทยในการออกแบบ และทำทุกอย่างเอง มองว่าธุรกิจที่เรากำลังจะทำก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถ และเราก็มีที่ปรึกษาที่เคยอยู่ในธุรกิจพลังงานทดแทนนี้ด้วย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 3/61 ว่าเราจะดำเนินการไปในรูปแบบใด"นายองอาจ กล่าว

นายองอาจ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายทางธุรกิจ ในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และตั้งเป้าเป็นบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล จากการสร้างแบรนด์ของ ALLA ให้เป็นแบรนด์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล โดยมีแผนมุ่งขยายธุรกิจหลัก หรือ ธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งเครนและรอกไฟฟ้า ออกไปสู่ต่างประเทศ โดยจะเริ่มจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน

"ตอนนี้เราก็สามารถพูดได้เลยว่า ธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้า เราเป็นอันดับ 1 และธุรกิจผลิต จำหน่าย และติดตั้งรอกไฟฟ้า และเครน เป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรม ซึ่งเรามองภาพตัวเราเอง เราพยายามที่จะทำให้เราเป็นบริษัทที่มีความหลากหลาย แต่อยู่ในธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน อย่างธุรกิจ Warehouse ก็ต่อเนื่องจาก Loading Dock ขณะเดียวกันความฝันของเรา เมื่อก่อนเราอยากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และพอได้เป็นแล้วเราก็ฝันต่อว่าเราต้องการเป็นบริษัทที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนล โดยจะเริ่มจาก Southeast Asia ก่อน แต่เนื่องด้วยเราเป็นบริษัทมหาชน เราก็ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ก่อน และดูว่าคุ้มทุนหรือไม่"นายองอาจ กล่าว

นายองอาจ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะเข้าไปจัดตั้งสำนักงานขายในประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรก คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 10 ล้านบาท และจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงต้นปี 62 เป็นต้นไป หากประสบความสำเร็จก็จะพิจารณาก่อสร้างโรงงานผลิตที่ประเทศดังกล่าว อีกทั้งก็จะขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก เช่น ฟิลิปปินส์, เมียนมา และเวียดนาม เป็นต้น

"เนื่องด้วยฐานลูกค้าจะเป็นฐานลูกค้าเดียวกัน และฐานลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น เมื่อลูกค้าจะเข้าไปรับงานหรือทำธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย เราก็จะตามลูกค้าเข้าไป ซึ่งก็จะเป็นเหมือนกับการทำธุรกิจในประเทศไทย ทำให้เรามียอดขายเพิ่มขึ้น"นายองอาจ กล่าว

ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจเป็นผู้นำเข้า ผลิต จำหน่ายและติดตั้งรอกไฟฟ้า และเครน จาก STAHL Crane Systems ประเทศเยอรมนี เพียงรายเดียวในประเทศไทย, ธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้า (Loading Dock System) สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย, ธุรกิจระบบคลังสินค้า (Warehouse System Providers) และธุรกิจบริการหลังการขาย

นายองอาจ กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานของธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งเครนและรอกไฟฟ้าในปีนี้ บริษัทยังคงเข้าประมูลรับงานโครงการผลิตและติดตั้งเครนและรอกไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อต้นปีบริษัทได้รับงานก่อสร้างเครนของโรงไฟฟ้าบางปะกง และโรงไฟฟ้าเบิกไพร มูลค่ารวมราว 70-80 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 62 ขณะที่ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างประมูลเข้ารับงานผลิตเครนในโครงการโรงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมยานยนต์ มูลค่ารวมประมาณ 2.8 พันล้านบาท คาดว่าจะทยอยทราบผลอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นอกจากการเข้าไปรับงานโครงการโรงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว บริษัทยังมองโอกาสขยายเข้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีก เช่น อุตสาหกรรมน้ำตาล, คอนกรีต และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวถือว่ายังมีความต้องการใช้เครนและรอกไฟฟ้าอีกมาก

ขณะเดียวกันยังมองโอกาสในการเข้าไปจำหน่ายเครน รอกไฟฟ้า และประตูอุตสาหกรรม ให้กับ Supply Chain ที่จะเข้าไปลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยจะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน หรือโรงซ่อมเครื่องบินแอร์บัส, อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร, อุตสาหกรรมปิโตรเคมี Oil & Gas เป็นต้น รวมถึงจะต่อยอดไปยังธุรกิจคลังสินค้าด้วย

ส่วนธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้า (Loading Dock System) ในปีนี้ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินธุรกิจแบบ One Stop Service ที่มีทั้งการขนถ่ายสินค้าและการจัดเก็บสินค้าโดยมองภาพอุตสาหกรรมดังกล่าวยังมีความต้องการที่ดีอยู่ จากการสนับสนุนของภาครัฐในด้านของโลจิสติกส์ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการย้ายคลังสินค้าที่จ.ฉะเชิงเทรา มายังคลังสินค้าแห่งใหม่ (Warehouse) ที่อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบได้ในปลายเดือนก.ค.นี้ น่าจะส่งผลทำให้บริษัทมีพื้นที่รองรับการจัดเก็บสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น

ด้านธุรกิจบริการหลังการขาย ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% โดยได้ให้บริการหลังการขายทั้งในธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งเครน และรอกไฟฟ้า และธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้า ซึ่งในอนาคตก็มีแนวคิดในการขยายไปสู่ในเรื่องของการจัดเก็บคลังแบบอัตโนมัติด้วย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัท

นายองอาจ กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน โดยมีรายได้มาจากธุรกิจหลักอย่างธุรกิจผลิต จำหน่าย และติดตั้งเครนและรอกไฟฟ้า และธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้า ส่วนธุรกิจใหม่ๆ อย่างธุรกิจคลังสินค้า และธุรกิจพลังงานทดแทน ในปีนี้ยังอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการ ก็น่าจะเห็นความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมได้ในปี 62 โดยคาดหวังที่จะสัดส่วนรายได้ประมาณ 40% ของรายได้รวม

ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 ที่อยู่ที่ 277 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้บางส่วนประมาณ 70-80% ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 น่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/61 จากการรับรู้รายได้งานในมืออย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่าน่าจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นไปตามงานที่ส่งมอบให้กับลูกค้า

"จากนี้ไปเราเชื่อว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามงานในมือที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตในทุก ๆไตรมาส"นายองอาจ กล่าว

พร้อมกันนี้บริษัทจะยังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ให้อยู่ที่ 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 30.35% และอัตรากำไรสุทธิให้ใกล้เคียงกับระดับ 9.27% ในปีก่อน แม้ว่ายังมีการแข่งขันที่สูงอยู่ และราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงลงทุนบุคลากรในการดำเนินธุรกิจคลังสินค้า แต่ก็เชื่อว่ายังสามารถควบคุมบริหารจัดการต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ดีได้

https://www.youtube.com/watch?v=t6tpeyXvDqk&feature=youtu.be


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ