นายณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็นเอฟซี (NFC) เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง ในวันที่ 15 มิ.ย.61 หลังจากในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับโครงสร้างการบริหาร ปรับโครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างหนี้ และมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง กำไรต่อเนื่องติดต่อกัน จนพ้นเหตุแห่งการเพิกถอน และสามารถกลับเข้ามาซื้อขายได้ตามปกติ
การดำเนินธุรกิจของ NFC ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การจำหน่ายเคมีภัณฑ์และการให้บริการ 1.การจำหน่ายเคมีภัณฑ์เป็นรายได้หลักของบริษัทมาจากการนำเข้าและจำหน่ายเคมีภัณฑ์ ประเภทแอมโมเนีย แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ และกรดกำมะถัน 2.การให้บริการแบ่งเป็นการให้บริการคลังสินค้า สำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการใช้พื้นที่สำหรับกองเก็บวัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูป การให้บริการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าเหลว สำหรับจัดเก็บแอมโมเนียและกรดกำมะถัน และการให้บริการท่าเทียบเรือ
ที่ผ่านมา NFC ได้มีการปิดโรงงานปุ๋ยและไม่ได้ทำธุรกิจนั้นอีกแล้ว โดยได้เปลี่ยนมาดำเนินธุรกิจเป็นการจำหน่ายเคมีภัณฑ์และการให้บริการรองรับด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้า ซึ่งทำให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจเพิ่มเติม อาทิ โครงการปรับปรุงคลังสินค้าพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมขยายฐานลูกค้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และโครงการพัฒนาคลังสินค้าเหลวเพิ่มเติม รวมถึงขอใช้พื้นที่เพื่อพัฒนาคลังสินค้าเหลวเพิ่มเติมจาก กนอ.ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอนาคตจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของ NFC ในอนาคตเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
"การกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯของ NFC ในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ของหุ้น Resume Trade เนื่องจากเป็นบริษัทแรกที่ผลการดำเนินงานไม่มีตัวเลขขาดทุนสะสมติดมาเลย ในปัจจุบันนี้มีกำไรสะสม 243 ล้านบาท มีกำไรสุทธิต่อเนื่องมายาวนานถึง 9 ไตรมาส อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนแทบเป็นศูนย์ปัจจุบัน D/E อยู่ที่ 0.21 เท่า และขณะนี้มีกระแสเงินสดในมือ 400 ลบ. จัดได้ว่ามีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการรุกขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตได้อย่างไม่ต้องกังวลใดๆ"นายณัฐภพ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในปี (58-60) มีกำไรสุทธิ 80.37 ล้านบาท 397.00 ล้านบาท และ 214.69 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุด ในไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 26.21ล้านบาท มีรายได้รวม 300.12 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 285.85 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ประมาณ 80% มาจากรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เคมี ส่วนที่เหลือประมาณ 20% มาจากการให้บริการ
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในปี (58-60) อยู่ที่ 21.52% 26.31% และ 26.11% ตามลำดับ ส่วนในไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 23.45%
ล่าสุดได้มีการเพิ่มราคาพาร์จาก 0.50 บาท มาเป็น 1.25 บาท ทำให้จำนวนหุ้นลดลงมาเหลือ 1,087.83 ล้านหุ้นจากเดิม 2,719.58 ล้านหุ้น และลดทุนจดทะเบียนมาเป็น 815.87 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1,359.79 ล้านบาท ด้วยการลดพาร์จาก 1.25 บาท มาเป็น 0.75 เพื่อล้างขาดทุนสะสม
อนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำหนดให้ราคาซื้อขายหลักทรัพย์ของ NFC ในวันที่ 15 มิ.ย.61 ไม่มีราคาสูงสุดและต่ำสุด