นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/61 จากการปรับพอร์ตการดำเนินงานของบริษัท โดยในธุรกิจขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป (FSU) ได้มีการจำหน่ายเรือขนส่งที่มีอายุมากจำนวน 2 ลำ จากเดิมที่มีอยู่ 6 ลำ ส่งผลทำให้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.นี้ จะมีเรือขนส่งเหลือ 4 ลำ แต่ทำให้อัตราการใช้งานเรือ (Utilization) ดีขึ้น และมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากสามารถประหยัดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 70%
นอกจากนั้น ในการให้บริการเรือขนส่งขนาดใหญ่ บริษัทได้มีการปรับสัญญาเช่าเรือที่เป็นการขนส่งรายเที่ยว (Spot) มาเป็นสัญญาระยะยาวและลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง (Time Charter) เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะต้นทุนพลังงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะต้นทุนน้ำมันของเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
บริษัทยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าการขนส่งภายในประเทศจะเติบโตขึ้นประมาณ 12% จากปีก่อน ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานของ PRM น่าจะปรับตัวดีขึ้นในทุกๆไตรมาส นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัท บิ๊กซี จำกัด (Big Sea) ที่เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 70% เข้ามาตั้งแต่เดือน ก.ค.61 เป็นต้นไป
นายชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า การเข้าซื้อกิจการ Big Sea ยังจะทำให้ PRM มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 32% จะเพิ่มเป็น 49.3% เนื่องจาก Big Sea เป็นบริษัทให้บริการขนส่งทางเรือและมีขนาดกองเรือในตลาดเป็นอันดับที่ 2 โดยมีจำนวนเรือทั้งสิ้น 13 ลำ ปัจจุบันให้บริการแก่ Chevron, Shell, BCP, PTT, IRPC เป็นต้น จากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
บริษัทยังวางงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 4-5 พันล้านบาทเพื่อใช้ซื้อเรือเข้ามาเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีกองเรือรวมทั้งสิ้น 25 ลำ โดยจะมีการขายเรือออกไปอีก 1 ลำ และจะรับมอบเข้ามาเพิ่ม 3 ลำ ทำให้สิ้นปีนี้จะมีกองเรือทั้งสิ้นจำนวน 27 ลำ และหากรวมกับ Big Sea จะทำให้บริษัทมีกองเรือรวมทั้งสิ้น 40 ลำ และในปี 62 จะเพิ่มเป็น 45 ลำจากการรอบมอบเรือขนาดเล็กเข้ามาอย่างต่อเนื่อง