บล.เออีซี (AEC) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (19-22 มิ.ย.) ให้กรอบดัชนี 1,680-1,690 จุด มองตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นคาดมีแนวโน้มผันผวนเชิงลบหลังมีหลายปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศที่ต้องติดตาม ซึ่งยังกดดัน Fund Flow ให้มีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคและทำให้การเก็งกำไรหุ้นทำได้ยาก
ทั้งนี้นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญต่อปัญหาสงครามการค้าที่มีโอกาสรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้ากว่า 1,102 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าล็อตแรก มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท วันที่ 6 ก.ค.นี้ ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนตามนโยบาย Made in China 2025
รวมทั้งเตรียมจำกัดการลงทุนของภาคเอกชนจีนในสหรัฐฯ กดดันให้จีนออกมาประกาศแผนจัดเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ ในมูลค่าที่ใกล้เคียงกันเพี่อเป็นการตอบโต้ต่อมาตรการดังกล่าว และทำให้ความคาดหวังที่จะเดินหน้าเจรจาด้านการค้าต่างๆ เป็นไปได้ยากขึ้น จึงคาดตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีทิศทางผันผวน และประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อ Inflation Expectation ในสหรัฐฯ ให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ US Bond Yield ดีดตัว กดดันตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ " การอ่อนตัวของราคาเป็นจังหวะเข้าซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยเน้นหุ้น Domestic Play " ดังนี้ 1. หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ราคาหุ้นยัง Laggard โดยมี PBV ต่ำ 1 เท่า อาทิ BBL, TCAP , 2. หุ้นค้าปลีกที่คาดได้อานิสงส์จากเทศกาลฟุตบอลโลก เช่น CPALL, BJC, ROBINS, 3. หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีแผนเปิดตัวโครงการจำนวนมากในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เลือก AP, SPALI, SC และสุดท้ายหุ้นที่คาดช่วงครึ่งหลังปีนี้ กำไรโตดี จากปีก่อน เช่น BDMS, BJC, AOT, BA, JKN, ANAN
ส่วนในทางเทคนิคสำหรับนักเก็งกำไร และนักลงทุนระยะกลาง ถือเงินสด รอเข้าซื้อ เมื่อเกิดสัญญาณยืนยันการยืนแนวรับ ทั้งนี้ กลุ่มที่คาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวบวก ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) เช่น KCE, HANA และ กลุ่มพาณิชย์ (COMM) เช่น CPALL , BEAUTY , KAMART