นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการที่ดัชนี SET ปรับตัวลดลงแรงกว่า 40 จุดในวันนี้ว่า เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศ กดดัน Sentiment การลงทุน ทั้งจากเรื่องของสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการลดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางยุโรป โดยเชื่อว่าหากทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจนตลาดหุ้นมีโอกาสพลิกลับขึ้นเร็ว ขณะที่ปัจจัยในประเทศเรื่องของพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ โดยคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เติบโต 4.2-4.7% บริษัทจดทะเบียนยังแข็งแรงอยู่จะเป็นจุดดึงดูดให้เงินกลับมา หากเหตุการณ์หรือสถานการณ์คลี่คลายหรือมีความชัดเจนเชื่อว่าจะตลาดหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นตัวเร็ว เพียงแต่ยังตอบไม่ได้ว่าเหตุการณ์จะยืดเยื้อนานแค่ไหน
"การเทขายของนักลงทุนไม่ได้เกิดเฉพาะในตลาดหุ้นไทย แต่ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นโลกก็ปรับตัวลงเช่นกัน ทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เซี่ยงไฮ้ ไต้หวัน อินเดีย ที่ผ่านมาตลาดเรารีบาวด์กลับมาเร็วเสมอ แต่ละครั้งใช้เวลาไม่นาน...ตลาดลงเป็นปัจจัยที่ทุกคนโดนหมด อีกอย่างเรามีความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจ ความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน สิ่งที่เกิดเป็น Macro Picture แต่เศรษฐกิจไทยไม่น่าห่วงตรงนั้นก็ไม่รู้สึกกังวล"
นายภากร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยดีดกลับหรือฟื้นตัวได้เร็วเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ได้แก่ เหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิในปี 51 ตลาดหุ้นไทยใช้เวลาฟื้นตัวกลับมา 2-3 เดือน และวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ก็ใช้เวลาฟื้นตัว 11 เดือน เหตุการณ์น้ำท่วมปี 54 ใช้เวลาฟื้นตัว 6 เดือน เหตุการณ์ปัญหาสถาบันการเงินในจีน ใช้เวลา 10 เดือน
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสัดส่วน 30.7% ในช่วง 1 ปีนับตั้งแต่พ.ค. 60
นายภากร กล่าวว่า ที่เห็นต่างชาติขายเป็นการขายกำไรออกมาจากที่ลงทุนไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว โดยถือเงินสดเพื่อรอจังหวะเข้ามาใหม่ อย่างไรก็ตาม เตือนนักลงทุนติดตามสถานการณ์และข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงตลาดหุ้นจะกลับมาเร็ว