นายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อิมแพ็ค โกรท (IMPACT GROWTH REIT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้งวดปี 61/62 (เม.ย.61-มี.ค.62) จะเติบโตได้ราว 4-5% หรือมีรายได้ 2,330 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้นทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าลงทุนจัดงานคึกคัก
ขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็ได้รับประโยชน์จากศูนย์สิริกิต์ปิดปรับปรุง ทำให้ผู้จัดงานอีเว้นท์ใหญ่ เช่น งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และงาน Baby Best Buy ย้ายมาจัดที่อิมแพ็คเมืองทองธานีแทน ส่วนงานอื่นๆ ยังอยู่ระหว่างการเจรจา นอกจากนี้ยังมีลูกค้าประจำกว่า 80% ซึ่งบริษัทพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้และเสนองานให้ลูกค้าขยายการจัดงานต่อเนื่อง
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของกองทรัสต์ แบ่งเป็นจัดงานแสดงสินค้า 82% พื้นที่จัดเลี้ยง 7.6% ผู้เช่าระยะยาวประเภทร้านอาหาร 7% ค่าที่จอดรถ 2.7% สื่อโฆษณา 0.5%
บริษัทคาดว่าในปีนี้ อัตราการใช้พื้นที่จะอยู่ที่ราว 52% สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 50% และค่าเช่าเฉลี่ยน่าจะเพิ่มเป็น 71 บาทต่อตารางเมตรต่อวัน จากปีก่อน 70 บาทต่อตารางเมตรต่อวัน แม้จะยอมรับว่าการปรับราคาทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉลี่ย 2-3 ปีจะมีการปรับขึ้นไปบ้างตามกลไกตลาด
อย่างไรก็ตาม หากรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีการเชื่อมต่อเส้นทางเข้ามาภายในเมืองทองธานี น่าจะส่งดีต่ออัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรให้สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยขณะนี้การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีความคืบหน้าแล้วหลังจากรัฐบาลเวนคืนพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 65 โดยในเดือน ก.ค.นี้จะได้ข้อสรุปว่าจะมีการต่อขยายเส้นทางเข้ามายังอิมแพ็คฯ หรือไม่
นายพอลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีแผนใช้งบลงทุนราว 20-30 ล้านบาทในปีนี้เพื่อปรับปรุงพื้นที่ให้อยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งปัจจุบันมองว่าพื้นที่ยังมีศักยภาพที่ดี จึงยังไม่ได้มีแผนที่จะปรับปรุงครั้งใหญ่
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ โดยอยู่ระหว่างการศึกษาทั้งโครงการในประเทศและต่างประเทศ หลังจากมูลค่าสินทรัพย์ทรงตัวมา 4 ปีที่ 19,600 ล้านบาท โดยการเพิ่มพื้นที่เข้ามาเป็นสินทรัพย์นั้นจะคำนึงถึงศักยภาพการเติบโตของรายได้ และผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนเป็นหลัก
ขณะที่ปัจจุบัน IMPACT มีสัดส่วนถือหุ้นโดยนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศถือหน่วยลงทุนประมาณ 30% สูงกว่าในอดีตที่เริ่มตั้งกองที่อยู่ในระดับ 19% และนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นมาเป็น 4% จากในอดีตไม่ได้ถือหุ้นอยู่เลย ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่บริษัทได้เดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มีแผนจะเดินทางไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงเพิ่มเติมด้วย