บล.เอเซีย พลัส คาดดัชนี SET ปี 62 มีโอกาสหลุด 1,500 จุด รับผลกระทบสงครามการค้าเต็มที่-เงินยังไหลออก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 27, 2018 13:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ในปี 62 มีโอกาสจะหลุดระดับ 1,500 จุด หรือมาอยู่ที่ประมาณ 1,483.39 จุด หากสหรัฐมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นไปถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากรอบแรกเริ่มในเดือน ก.ค.นี้ที่ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทย โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจส่งออก และมีผลกระทบไปถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่อาจจะปรับตัวลดลง กรณีร้ายแรงที่สุดถึง 20% จากปี 61 หรือคิดเป็น EPS ที่ 92.71 บาท/หุ้น

แต่ถ้าหากสหรัฐฯมีการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยลดเป็น 25-30% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลก ดังน้น นักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งท่าทีของสหรัฐฯและการตอบโต้ของประเทศอื่นๆประกอบไปด้วย

"แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 62 มองว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯเข้ามาเต็มที่ โดยเฉพาะการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่จะกระทบต่อการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียที่จะได้รับผลกระทบเป็นห่วงโซ่ไปด้วย และทำให้การขยายตัวของตัวเลขการส่งออกของโลกที่โอกาสขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย หรือหดตัวก็เป็นไปได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะขยายตัวลดลงจากปีนี้ โดยที่ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบมาถึงการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยด้วยเช่นกัน พร้อมกับมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอีกด้วย"

ขณะที่ปัจจัยด้านสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยในประเทศ คาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ในปีนี้ยังเหลือการประชุมอีก 4 ครั้ง อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้ง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.7% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ซึ่งคาดว่าสิ้นปี 61 อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 2.35% และหาก กนง.ยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมีสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นอีกราว 7 ครั้งไปถึงปี 63 ส่งผลกระทบให้เงินทุนไหลออกมากขึ้นอีก ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยจะกระทบไปถึงปี 62

นางภรณี กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังไปจนถึงปี 62 จะยังคงเผชิญกับความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบมาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งนักลงทุนจะต้องติดตามข้อมูลปัจจัยต่างๆ และตัดสินใจการลงทุนอย่างรอบคอบมากขึ้น โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมองว่าเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้น หลังจากที่ดัชนีและราคาหุ้นลดลงไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลัก

โดยแนะนำหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน ได้แก่ TTW, RATCH และ EASTW กลุ่มบริโภคในประเทศ ได้แก่ BJC, DTAC กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ CK, STEC, LH, WHA, AMATA และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยค่าขึ้นและการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ ได้แก่ BBL และ TCAP


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ