น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน รองกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวในการสัมมนา"Hot Issue เกาะติดทิศทางลงทุน : ลงทุนยามหุ้นผันผวน กับ Dividend Stock"ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ที่ระดับ 1,600-1,620 จุด เหมาะสมแก่การเข้าซื้อ
เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่มีประเด็นน่ากังวล เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ที่ระดับ 4.4% ขณะที่กรอบเวลาการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น และกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ขณะที่ P/E อยู่เพียง 14.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 15.2 เท่า
ทั้งนี้ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับฐานเร็วและแรง เกิดจากกระแสเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่องจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงไทย โดยมีผลมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ MSCI ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาค เพื่อเปิดทางให้หุ้นของจีน หรือ A-Share เข้ามาร่วมในการคำนวนด้วย
ประกอบกับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่ตลาดคาดไว้ 3 ครั้ง โดยครึ่งปีหลังอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลง รวมถึงเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เริ่มมีการตอบโต้จากสหรัฐฯในการขึ้นภาษีเหล็ก และกำแพงภาษีรถยนต์ ทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานในภูมิภาคเอเชียที่เป็นฐานการผลิตสำคัญ ทั้งนี้เชื่อว่าประเด็นสงครามการค้าจะสามารถคลี่คลายได้จากการเจรจาร่วมกัน
ปัจจัยที่กดดันตลาดอีกปัจจัยหนึ่ง คือ การทำ Block Trade ของนักลงทุน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมีมูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ทำให้อำนาจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดปรับตัวลง นักลงทุนมีการเร่งปิดสถานะในตลาด Single Stock Futures และเพิ่มสถานะ short ในหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
น.ส.มยุรี กล่าวต่อว่า ขณะนี้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปัจจุบันยังไม่เสถียร เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง ทำให้ยังมีแรงเหวี่ยง โดยนักลงทุนต้องหาหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2/61 จะออกมาดี หรือหุ้นที่มีปันผลดีเพื่อเข้าลงทุน อีกทั้งมองว่ายังเป็นโอกาสดีในการปรับพอร์ตการลงทุนที่สามารถเห็นการฟื้นตัวได้
อีกทั้งยังแนะนำให้เน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ และพิจารณาหุ้นที่มีราคาปรับตัวลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับตลาดที่มีการปรับตัวลดลงราว 7% แนะหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) จากคาดกำไรไตรมาสที่ 2/61 ออกมาดีกว่าทั้ง yoy และ qoq ประกอบกับราคาหุ้นลดลงมากว่า 20% โดยคาดว่ามีปันผล 4% ในงวดนี้ ประกอบกับทิศทางครึ่งปีหลังเติบโตดีจากได้รับค่าที่ปรึกษาจากกองทุน Thailand Future Fund และโอสถสภา ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท
หุ้น บมจ.พีทีที โกบอล เคมิคอล (PTTGC) จากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาปิโตรเลียมและน้ำมันอยู่ในระดับสูง อีกทั้งราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 10% แล้ว โดยมี P/E ที่ระดับต่ำเพียง 8-9 เท่า
และหุ้น บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) จากราคาหุ้นปัจจุบันลดลงกว่า 20% จากต้นปี เห็นแนวโน้มการเติบโตในไตรมาสที่ 2/61 จากกำไรในไตรมาสที่ 1/61 ดี โดยบล.หยวนต้าประเมินกำไรปี 61 เติบโต 20-30% แนะนำให้"ทยอยสะสม"