ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรของ SPI ที่ระดับ"AA" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 27, 2018 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของบมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) ที่ระดับ "AA" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์ ตลอดจนการลงทุนที่หลากหลายในบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสหพัฒน์ และการมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการมีรายได้จากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ นโยบายทางธุรกิจที่ระมัดระวังและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เข้มแข็งของบริษัทด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

บริษัทเป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์ โดยกลุ่มสหพัฒน์เป็นกลุ่มบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคหลายประเภท ประกอบด้วยตราสินค้าชั้นนำจำนวนมากในตลาดที่หลากหลาย อาทิ มาม่า วาโก้ เปา เอสเซ้นซ์ มิสทีน บีเอสซี ฯลฯ กลุ่มสหพัฒน์ได้พัฒนาเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการผลิตและจัดจำหน่าย

บริษัทเป็นผู้ให้บริการสวนอุตสาหกรรมสำหรับกลุ่มสหพัฒน์ซึ่งให้บริการสาธารณูปโภคและบริการอื่น ๆ แก่บริษัทต่าง ๆ ที่ประกอบการในสวนอุตสาหกรรม บริษัทยังทำหน้าที่เป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มสหพัฒน์

การลงทุนที่หลากหลาย

บริษัทมีการลงทุนที่หลากหลาย ปัจจุบันบริษัทลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มสหพัฒน์จำนวน 134 แห่ง โดยเป็นการลงทุนในหลากหลายกลุ่มธุรกิจเช่นอาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภค และอื่น ๆ ในปี 2560 เงินปันผลรับจากกลุ่มบริษัทอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็น 31% ของกระแสเงินสดของบริษัท ในขณะที่เงินปันผลจากกลุ่มบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า และเครื่องสำอางมีสัดส่วน 24% 16% และ 12% ตามลำดับ

กลุ่มสหพัฒน์มักจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่าง ๆ และได้สร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับหุ้นส่วนทางธุรกิจจำนวนมากทั้งชาวไทยและต่างประเทศ การร่วมลงทุนจะช่วยลดภาระการลงทุนครั้งแรกของบริษัทและยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมลงทุนด้วย ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง โดยการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงจากพันธมิตรเพียงรายใดรายหนึ่ง

เงินปันผลที่สม่ำเสมอจากบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มสหพัฒน์

กระแสเงินสดหลักของบริษัทมาจากเงินปันผลจากการลงทุน โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเงินปันผลรับคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 80% ของกระแสเงินสดของบริษัท โดยส่วนที่เหลือมาจากการให้บริการในสวนอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนที่หลากหลายส่งผลให้ได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยในปี 2560 บริษัทได้รับเงินปันผล 1,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับระหว่าง 700 ล้านบาท ถึง 900 ล้านบาทในช่วงปี 2556-2559 เนื่องจากบริษัทเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน "มาม่า" และ "ฟาร์มเฮ้าส์" หลังจากที่ได้ซื้อกิจการของ บริษัท เพรซิเดนท์ โฮลดิ้ง จำกัด

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งแม้ว่าภาระหนี้เพิ่มขึ้น

บริษัทมีงบดุลอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งแม้ว่าจะมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 9,939 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 โดยภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทได้มีการออกหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวน 3,505 ล้านบาทและออกตราสารหนี้ในรูปแบบอื่น ๆ อีกประมาณ 4,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในในการลงทุนในบริษัทเพรซิเดนท์ โฮลดิ้ง ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 30% เป็นประมาณ 20%-25% ภายหลังจากการแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นทุนในช่วงปลายปี 2561

สภาพคล่องแข็งแกร่ง

สภาพคล่องของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง บริษัทไม่มีภาระหนี้ที่จะต้องชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 บริษัทมีแหล่งเงินทุนประกอบด้วยเงินสดจำนวน 87 ล้านบาทและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 4,960 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1,100 ล้านบาทต่อปี โดยในปี 2561 บริษัทมีงบลงทุนประมาณ 2,790 ล้านบาทซึ่งบางส่วนจะใช้เงินกู้ในการลงทุน ความคล่องตัวทางการเงินของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากสภาพคล่องของการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของเงินลงทุนของบริษัทในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 22 แห่งคิดเป็น 31,202 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 โดยมูลค่าเงินลงทุนของบริษัทคิดเป็น 3 เท่าของเงินกู้รวมของบริษัท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอจากการลงทุนในบริษัทในกลุ่มสหพัฒน์ ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ต่อปี ส่วนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับระหว่าง 20%-30% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายควรอยู่สูงกว่า 5 เท่า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลประกอบการของกลุ่มสหพัฒน์ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากและสามารถเพิ่มกระแสเงินสดของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ อันดับเครดิตอาจลดลงหากรายได้จากเงินปันผลของบริษัทลดลงอย่างมากจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของบริษัทในเครือของกลุ่มสหพัฒน์ หรือบริษัทมีการใช้นโยบายก่อหนี้จำนวนมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ