นายบุญสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒนพิบูล กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้จะเติบโต 1-2% เป็นไปตามการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจแฟชั่นหรือเสื้อผ้ายังคงชะลอตัว เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปเห็นได้จากการซื้อสิยนค้าแฟชั่นในห้างสรรพสินค้าลดลง ซึ่งบริษัทก็อยู่ในช่วงของการปรับตัว และแก้ไข โดยได้ดำเนินการพัฒนานำเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง QR Code เข้ามาเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินให้กับผู้บริโภค คาดว่าในปี 62 จะเห็นการเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินใน Shop ของเครือสหพัฒน์เป็น QR CODE ได้
ขณะเดียวกันบริษัทก็มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ โดยกลับมามุ่งเน้นการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศมากขึ้น จากเดิมที่มุ่งเน้นการส่งออก เนื่องจากปัจจัยภายนอกในขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูง โดยบริษัทมีความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯและจีน ซึ่งทำให้ค่าเงินทั่วโลกเกิดความผันผวนในระดับสูง
นายบุญสิทธิ์ เชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากครึ่งปีแรกเติบโตเฉลี่ย 1-2% โดยเห็นสัญญาณของกำลังซื้อในทุกระดับฟื้นตัวดีขึ้นในขณะนี้ สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น และจะยังส่งผลดีไปถึงผลการดำเนินงานในปี 62 ที่จะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ โดยเฉพาะจากการเลือกตั้งในประเทศที่น่าจะทำให้บรรยากาศในประเทศคึกคักขึ้น กำลังซื้อในประเทศเติบโต และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น รวมถึงการส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศทั่วโลกเติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน
"ภาพรวมในปีนี้เราถือว่าเรามีการเติบโตดีกว่าปีก่อนๆ และเชื่อว่าจะเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เป็นไปตามการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ และความคาดหวังการเลือกตั้ง ซึ่งจะเข้ามาผลักดันการเติบโตและดึงความเชื่อมั่นของต่างชาติกลับมา"นายบุญสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมลงทุนด้านระบบ IOT System ในปี 62 ในธุรกิจอาหาร เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น หลังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในประเทศที่ยังมีการเติบโต
นายบุญสิทธิ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามสัญญาความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเข้าลงทุนซื้อแฟรนไชส์แบบตัวแทน (Master Franchise) ของสถาบันการศึกษาชื่อดังในประเทศอังกฤษ วางงบลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท เตรียมสร้างโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย เบื้องต้นได้เตรียมที่ดินไว้แล้วกว่า 10 ไร่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมของเครือสหพัฒน์ คาดว่าจะสามารถจัดตั้งโรงเรียนได้ภายใน 2 ปี ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเป็นการต่อยอดธุรกิจการศึกษาของเครือสหพัฒน์ให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง