โดยประเด็นเรื่องสงครามการค้าถือเป็นปัจจัยที่ชี้ทิศทางตลาดหากสถานการณ์มีเหตุที่ทำให้นักลงทุนลดความกังวลตลาดจะกลับมาเป็นบวกได้ ล่าสุดแคนาดาประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าสหรัฐวงเงิน 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผล 1 ก.ค. และสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะผ่อนปรนนโยบายจำกัดการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ด้านราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นแม้จะเป็นบวกต่อหุ้นผู้ผลิตน้ำมันแต่กลับเป็นลบต่อหุ้นปิโตรเคมี ราคาน้ำมันดิบที่สูงเกินปกติเช่นในเวลานี้จะหนุนเงินเฟ้อและเป็นลบต่อตลาดและหุ้นอื่น ๆ ที่ใช้น้ำมันจึงไม่เป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม
ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ต้องจับตาดู วันที่ 6 ก.ค. ซึ่งจะเป็นวันที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ-จีนมีผลบังคับใช้ จะมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากนั้นหรือไม่ รวมทั้งแรงซื้อในตลาดหุ้นต่างประเทศจะกลับเข้ามาหรือไม่ ดัชนีฯ จึงน่าจะมีความผันผวนมากพอควรในสัปดาห์นี้ รวมทั้งยังต้องติดตามเรื่องราคาน้ำมันดิบ รายงานประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) และตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันที่ 6 ก.ค.
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ ด้วยความไม่แน่นอนทิศทางตลาด จึงยังแนะนำให้ลดน้ำหนักหุ้นที่เสี่ยงต่อการถูกขายหรือขาดปัจจัยหนุน แต่เป็นจังหวะในการเข้าเก็บหุ้นที่คาดว่าจะสวนตลาดหรือขึ้นพร้อมตลาดได้ ซึ่งในสัปดาห์นี้จะเน้นหุ้นที่เป็น Domestic Play และหุ้นที่มีความปลอดภัย หรือ defensive ได้แก่ BBL , PTTEP , BDMS , SSP , KCE, LH และหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมาจนน่าสนใจ เช่น INTUCH , SPRC, DTAC , SCC