นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดโครงการแนวราบหรูระดับพรีเมี่ยมครั้งแรก คือ โครงการ BAAN 365 พระราม 3 มูลค่า 3.2 พันล้านบาท จำนวน 99 ยูนิต แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 41 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 35-60 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม 58 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยแบ่งการขายเป็น 2 เฟส ซึ่งเฟสแรกมูลค่า 1.6 พันล้านบาท จำนวน 30 ยูนิต เปิดขาย 14-15 ก.ค.นี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการเปิดให้ลูกค้าเข้ามาจองแล้ว โดยที่มียอดจองถึงวันที่ 2 ก.ค. 61 อยู่ที่ 700 ล้านบาท จำนวน 20 ยูนิต สูงกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งเป้ายอดขายถึงสิ้นเดือนก.ค.นี้ ที่ 600 ล้านบาท
โดยกำหนดการโอนโครงการ BAAN 365 พระราม 3 นั้นจะเริ่มทยอยโอนในช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้างราว 8 เดือน คาดว่าจะทยอยโอนตั้งแต่ไตรมาส 4/61 ที่ราว 800 ล้านบาท จากคาดการณ์ยอดขายถึงสิ้นปีนี้ที่ 1.2 พันล้านบาท ส่วนอีก 400 ล้านบาท จะทยอยโอนในช่วงปี 62
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดโอนโครงการแนวราบทั้งหมด 2 พันล้านบาท จากเป้ายอดโอนโครงการทุกประเภท 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการ BAAN 365 นับเป็นโครงการระดับพรีเมี่ยมจะคิดเป็นสัดส่วน 5-7% ของสัดส่วนยอดโอนทั้งหมดในปีนี้ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดโอนจากโครงการระดับพรีเมียมเป็น 10% ของยอดโอนทั้งหมดภายในปี 62 ซึ่งจะมีการเปิดโครงการ BAAN 365 พระราม 3 เฟส 2 และเปิดโครงการ BAAN 365 ในทำเลอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการมองหาที่ดิน
"โครงการ BAAN 365 ที่บริษัทพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของผู้บริหารที่มีจะสร้างบ้านภายใต้แนวคิด Livable Simple Luxury House เรียบง่ายแต่พิถีพิถันกับทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกที่ดิน การออกแบบที่เข้าใจ ให้ความสำคัญ และคำนึงถึงการอยู่อาศัยจริง จึงลดทอนความซับซ้อนและสิ่งที่เกินความจำเป็นออกไป มีการวางผังพื้นที่ใช้งานให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนหลายวัยในครอบครัว สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นทั้งพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่สังสรรค์ร่วมกันได้ เลือกใช้วัสดุที่คงทน ดูแลง่าย เพื่อเน้นคุณค่าของการใช้งานอย่างแท้จริง ผนวกกับการก่อสร้างที่พิถีพิถัน อันสะท้อนตัวตนของ LPN ที่เข้าใจการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย และที่สำคัญที่สุดคือ การบริหารโครงการภายใต้กลยุทธ์ "Livable Community" หรือ "ชุมชนน่าอยู่" เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยให้กับทุกครอบครัว"นายสุรวุฒิ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้มองถึงการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนจากรายได้ประจำ (Recurring Income) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนน้อยและไม่มีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงาน โดยที่ตั้งเป้าภายในสิ้นปี 62 จะผลักดันสัดส่วนรายได้ประจำให้เพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวม ใช้กลยุทธ์เริ่มปรับเปลี่ยนด้วยการนำโครงการคอนโดมิเนียมย่านรังสิตที่พัฒนาไปแล้วและอยู่ระหว่างการตกแต่งมาปรับรูปแบบเป็นอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า อัตราค่าเช่า 5,000 บาท/เดือน สัญญาเช่า 1 ปี ซึ่งได้เริ่มปล่อยเช่าไปแล้ว 200 ยูนิต จาก 1,500 ยูนิตที่อยู่ระหว่างการตกแต่ง
บริษัทได้มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนยูนิตของอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าเป็น 3,000 ยูนิตในอนาคต ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนรายได้ประจำให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น และในช่วงปลายปี 62 จะมีการเริ่มส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารสำนักงานย่านวิภาวดีให้กับผู้เช่า ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะมีสัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มเป็น 10% ได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่ในปี 63 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้รวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 1.5 หมื่นล้านบาท และโครงการแนวราบ 5 พันล้านบาท กลยุทธ์เป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด "Year of Change" ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่รุกตลาดบ้านหรูระดับบนมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมากเช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้าระดับล่าง โดยที่จะหันไปเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ B+ มากขึ้น
นายสุรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทมองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงให้รายได้ไม่กระจุกตัวอยู่ที่โครงการระดับล่างมากเกินไป และเป็นการขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มอื่น ๆ ส่งผลให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทได้ลดลงไปสู่จุดต่ำสุด เนื่องจากฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง และเกิดปัญหาในการขอสินเชื่อ ทำให้กระทบต่อการโอนโครงการของบริษัท ซึ่งกลยุทธ์ในปีนี้เป็นต้นไปจะเป็นการกลับมาฟื้นตัวของบริษัทและกระจายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น