นายนิพจน์ ไกรลาศโอฬาร ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงาน " Hot Issue เกาะติดทิศทางลงทุน : โอกาสลงทุนในหุ้น กลุ่ม SETHD" ว่า ปีนี้การผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับสูงขึ้น โดยได้รับผลกระทบหลักจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนยังคงรอติดตามรายชื่อสินค้าที่จะออกมาในวันที่ 6 ก.ค. นี้ ส่งผลให้เงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามายังตลาดในประเทศเกิดใหม่ช่วงก่อนหน้านี้ ไหลออกไปค่อนข้างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังถือว่าปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มมีมากขึ้น ขณะที่ความชัดเจนของการเลือกตั้งเริ่มมีมากขึ้น ซึ่งหากปัจจัยภายนอกนิ่งขึ้นเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมามองในกลุ่มประเทศเกิดใหม่อีกครั้ง และจะเลือกในกลุ่มที่มีพื้นฐานดี ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มที่ดี
"ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนค่อนข้างมาก ก็ด้วยปัจจัยภายนอกเป็นหลัก แต่ด้วยปัจจัยภายในแล้วเรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย และหากทุกอย่างนิ่งขึ้น นักลงทุนต่างชาติก็จะเลือกระหว่างกลุ่มที่ดีและไม่ดี ซึ่งของเราอยู่ในกลุ่มที่ดี โดยปัจจุบันดัชนีต่ำกว่า 1,600 จุด จากก่อนหน้านี้ที่ขึ้นไปราว 1,830 จุด หากจะเข้าลงทุนตอนนี้เหมาะสม หากจะถือไประยะยาว 3-5 ปี"นายนิพจน์ กล่าว
นายนิพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุน เนื่องจากปัจจุบันระดับ P/E อยู่ที่เพียง 13-14 เท่า จากที่ประเมินว่า P/E ของตลาดรวมปีนี้จะอยู่ที่ 15 เท่า ขณะที่ช่วงดัชนีที่ราว 1,800 จุด P/E จะอยู่ที่ระดับ 16 เท่า
ทั้งนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีมีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ ทั้งในอดีตและอนาคต โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.พื้นฐานของบริษัท เช่น มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง มีผลประกอบการที่ดีและสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ระดับหนี้ต่ำ และความสามารถในการแข่งขันสูง 2.พิจารณาประวัติการจ่ายปันผล โดยพิจารณาเลือกบริษัทที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอในช่วงเวลา 3-5 ปีที่ผ่านมา 3.พิจารณาการเติบโตของเงินปันผล เนื่องจากการจ่ายปันผลที่สูงขึ้นจะสะท้อนการเติบโตของรายได้และผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นด้วย และ 4. พิจารณาแนวโน้มการจ่ายปันผลในอนาคต โดยเลือกบริษัทที่มีแนวโน้มการจ่ายปันผลที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด
สำหรับกลุ่มที่เหมาะสมในการเข้าสะสมมี 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มจ่ายปันผลจากภาพรวมธุรกิจในปัจจุบัน คือ ปิโตรเคมี และพลังงานต้นน้ำ 2. กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคในประเทศและมีปัจจัยหนุนการเติบโตจากในประเทศเป็นหลัก คือธนาคารพาณิชย์ ที่มีอัตราการปันผลเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 4% และอสังหาริมทรัพย์ มีการปันผลในระดับสูงที่ 5.5-6% และ 3. กลุ่มธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก คือกลุ่มสื่อสาร ที่มีภาระค่าใช้จ่ายลดลง การประมูลคลื่นอาจจะมีความล่าช้า แต่หากมีการประมูลก็เชื่อว่าต้นทุนจะต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมา
แต่หากไม่มีความชำนาญมากนักให้เข้าไปดูในกลุ่ม SETHD หรือ SET High Dividend Index ที่มีการคัดเลือกหุ้นให้แล้วราว 30 บริษัท ซึ่งในกลุ่มนี้มีการปันผลเฉลี่ยสูงถึง 4.65% และมีระดับ P/E ที่ต่ำเพียง 11 เท่า
"ดอกเบี้ยประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ขณะที่เงินเฟ้อก็กำลังจะอยู่ในมิศทางเร่งขึ้น ช่วงนี้ดัชนีปรับตัวลดลงมามากให้หาโอกาสในการเข้าลงทุนหากมองเงินปันผลที่ 3.7-3.8% และลงทุนในกรอบระยะเวลา 1-2 ปี โดยให้หาหุ้นในกลุ่มที่มีกำไรไม่ผันผวนซึ่งจะทำให้ได้เงินปันผลที่ใกล้เคียงเดิม ซึ่งนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนจะมีมุมมองที่ว่าจุดที่เหมาะสมในการลงทุนที่สุดคือจุดที่ทุกคนกลัว"นายนิพจน์ กล่าว