นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) กล่าวว่า การขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์ฟาร์ม) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Nikaho และ Nagi ขนาดกำลังผลิตรวม 27.6 เมกะวัตต์ (MW)ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าราว 3,185 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/61 จากเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.หลังมีความล่าช้ากระบวนการเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับกำไรมาส่วนหนึ่งเพื่อนำมาลงทุนในโครงการใหม่ที่จะมีเข้ามา
ขณะที่การขายพอร์ตโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น 2 แห่ง ทำให้กำลังผลิตในญี่ปุ่นหายไปราว 10% จากที่มีอยู่ 150-200 เมกะวัตต์ แม้จะทำให้รายได้หายไปบางส่วน แต่เชื่อว่าเป็นส่วนที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับการเติบโตในแต่ละปีที่บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งจากพลังงานลม โซลาร์ ในไทย และยังมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์ที่ยังเติบโตต่อเนื่องด้วย
นอกจากนี้ การขายโซลาร์ฟาร์มทั้ง 2 แห่งเข้ากองทุนฯในช่วงเวลานี้นับว่าเป็นจุดที่เหมาะสมที่สามารถทำกำไรได้ และนำกำไรไปใช้ลงทุนต่อเนื่องในโครงการใหม่ หรือโครงการขนาดใหญ่ที่จะมีเข้ามา โดยที่ไม่ต้องใช้เงินกู้ทำให้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยอีกด้วย ส่วนจะมีการขายโครงการเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้นต้องพิจารณาโอกาสและความจำเป็นหากมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่เข้ามา
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) หรือกำไร จะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจของบริษัทอย่างต่อเนื่องที่ปัจจุบันได้ขยายการทำธุรกิจสู่การทำธุรกิจกับผู้บริโภคโดยตรง (retail) ควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบดั้งเดิมที่มีการนำส่งไฟฟ้าที่ขายได้เข้าสู่ระบบสายส่งของรัฐหรือการไฟฟ้าในระดับท้องถิ่น (wholesale)
"ปีนี้เราก็ตั้งเป้าไว้คิดว่า EBITDA หรือ earning โตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีที่แล้วจะเติบโตน่าจะอยู่สักประมาณ 20%"นายบัณฑิต กล่าว