บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ภายใต้โครงการ Invent , บริษัท เอ็น-เวสต์ เวนเจอร์ จำกัด บริษัท พรีเมียร์ แอ็ดไวซ์เซอรี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทรัสต์ SME Private Trust Fund โดยธนาคารออมสิน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ร่วมลงทุนบริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทในเครือ Yello Digital Marketing (YDM) ของประเทศเกาหลีใต้ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลเมืองไทยครั้งใหญ่ที่มีเป้าหมายร่วมมือคือการก้าวสู่ความเป็นกลุ่มบริษัทดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง อันดับ 1 ของเมืองไทย และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 63
นายคิมห์ สิริทวีชัย รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารการลงทุน INTUCH เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนเข้าร่วมลงทุนกิจการ 3-4 แห่งใช้งบลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท โดยบริษัทแรก คือ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง จำนวนเงิน 30 ล้านบาท หรือ 8% ของทุนจดทะเบียน และยังมีอีก 2-3 แห่งที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจเทเลคอม, มีเดีย และเทคโนโลยี ตามนโยบายของบริษัท
"การร่วมทุนครั้งนี้เราเล็งเห็นศักยภาพและการเติบโตต่อเนื่องของ YDM Thailand ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Advertising Technology และยังประกอบธุรกิจการตลาดดิจิทัลอย่างครบวงจร มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจาก YDM มีทีมงานและบริษัทในเครือมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ รวมทั้งผู้ก่อตั้งมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำธุรกิจให้เติบโต และมีแนวคิดการพัฒนาธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายของ INTUCH ซึ่งเราสนใจธุรกิจดิจิทัล เอเจนซี่ และเห็นโอกาสในธุรกิจการตลาดดิจิทัลที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง"นายคิมห์ กล่าว
จากข้อมุลของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (DAAT) คาดว่าในปี 61 ตลาดโฆษณาดิจิทัลในประเทศไทยจะเติบโตขึ้นอีก 16% คิดเป็นมูลค่า 14,330 ล้านบาท การลงทุนครั้งนี้ยังเชื่อมโยงโอกาสในการแลกเปลี่ยน Innovation ด้านการตลาดดิจิทัลระหว่างกัน ทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆให้กับบริษัทและลูกค้ากลุ่มอินทัช รวมถึงบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ซึ่งเป็น Mobile Digital มีฐานลูกค้ากว่า 40 ล้านราย และ บมจ.ไทยคม (THCOM)
อนึ่ง ในปี 60 บริษัทเข้าลงทุน 3 แห่งใช้เงินประมาณ 100 ล้านบาท โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการ Invent ลงทุน 14 บริษัทแล้ว ขณะที่บริษัทยังมีเงินสดในมือ ประมาณ 1.8 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอสนับสนุนในโครงการ Invent ปีละไม่เกิน 200 ล้านบาท
นายคิมห์ กล่าวว่า ในระยะยาวมองว่าการลงทุนที่ผ่านมาหากมีความเหมาะสมที่จะถอนการลงทุน อาทิ การเพิ่มพันธมิตรเพื่อต่อยอดธุรกิจ หรือเจ้าของซื้อหุ้นคืน ทั้งนี้จะมีเงินทุนเข้ามาใช้ในโครงการ Invent แทนที่จะใช้เงินทุนจากบริษัท โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ถอนการลงทุน 2 แห่ง ซึ่งมีอัตราผลตอบแทน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 20%
นายคิมห์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาการลงทุนธุรกิจใหม่ (New Business) อีกด้วยโดยจะเข้าลงทุนในรูปแบบทั้งร่วมลงทุน (Joint venture) และ ซื้อกิจการ (M&A)ซึ่งยังอยู่ในกลุ่มธุรกิจเทเลคอม, มีเดีย และเทคโนโลยี ตามนโยบายของบริษัท ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนมากกว่าการลงทุนในโครงการ Invent หรือ VC ที่มีเม็ดเงินลงทุน 30-60 ล้านบาท และลงทุน 1-30% โดยขณะนี้มีธุรกิจที่มีแนวโน้มชัดเจนเข้าลงทุน 1 ราย หากสามารถตกลงได้จะต้องนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติก่อน และจะใช้แหล่งเงินทุนจากเงินสดที่มีอยู่ 1.8 พันล้านบาทใช้ในการลงทุน
"กำลังดู New Business ที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเป็นได้ทั้ง JV M&A ซึ่งตอนนี้มี potential อยู่ 1 ดีล ...การลงทุนนี้เราจะมีส่วนร่วมเข้าบริหาร การลงทุนนี้เพื่อเพิ่ม Value ของบริษัท อินทัชฯซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง"นายคิมห์ กล่าว
ด้านนายธนพล ทรัพย์สมบรูณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีผู้ร่วมทุนใหม่ 3 รายคือ INTUCH ,ธนาคารออมสิน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีเม็ดเงินลงทุนรวม 90 ล้านบาท (ธนาคารออมสินและตลาดหลักทรัพย์รวมกัน 60 ล้านบาท INTUCH 30 ล้านบาท) โดยจะนำมาใช้ขยายการลงทุนต่อยอดธุรกิจใหม่ ที่คาดว่าภายในปีนี้จะเปิดแพลตฟอร์มใหม่ 4 แพลตฟอร์ม รวมทั้งเพิ่มฝ่าย INNOVATION และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
หลังการร่วมลงทุนครั้งนี้ จะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ได้แก่ Yello Digital Marketing (YDM) ของประเทศเกาหลีใต้ ถือ 30% , INTUCH ธนาคารออมสิน และตลาดหลักทรัพย์ ถือรวมกัน 30% และกลุ่มนายธนพลถือ 40%
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายเข้าตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในปี 63. จากที่บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจมา 2 ปี มีกำไรมาตลอด โดยในปี 61 คาดจะมีรายได้ 600 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 10% จากในปี 60 มีรายได้ 400 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 10%โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีลูกค้าใหม่จำนวน 500 ราย แต่ครึ่งปีแรกได้ลูกค้าใหม่แล้ว 350 ราย จึงคาดว่าปีนี้จะมีลูกค้าใหม่ทะลุเป้า และเมื่อเทียบกับปีที่แล้วมี 180 ราย โดยปัจจุบันมีลูกค้ารวม 800 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เป็นแบรนด์ดัง และอยู่ในแทบทุกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ห้างสรรพสินค้า สินค้าอปโภคบริโภค
"เราตั้งเป้าหมายนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เราจะเข้าตลาดใหญ่ เราวางแผนไว้ไม่ได้อยู่แต่ในประเทศไทย แต่เราจะขยายไป South East Asia ไปdrive กับลูกค้า นักลงทุน"นายธนพล กล่าว
ทั้งนี้ นายธนพล มองว่า ภาพรวมตลาดดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยตัวแปรสำคัญที่ทำให้สื่อดิจิทัลโดดเด่นและมีงบโฆษณาสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีเทคโนโลยีเป็นตัวผลักดัน โดยเฉพาะในเรื่องของ Big Data ทำให้สื่อดิจิทัลมีประสิทธิภาพสูง Target ได้แม่ยำ วัดผลได้ ส่งผลให้โฆษณาดิจิทัลมี ROI สูงมาก ปัจจุบันมูลค่าเม็ดเงินที่แบรนด์ต่าง ๆ ใช้จ่ายผ่านสื่อดิจิทัลในประเทศไทยในปี 2560 มีมูลค่า 12,402 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 30% แต่คิดเป็นสัดส่วนแค่ประมาณ 10% ของมูลค่าการโฆษณาทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งถือว่ามูลค่าโฆษณาในสื่อดิจิทัลในไทยนั้นยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก และยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต เช่น เดียวกับประเทศอื่นๆ ในโลก เช่น จีนปัจจุบันมีสัดส่วนโฆษณาดิจิทัลประมาณ 57%, สหราชอาณาจักร60% และอเมริกา 30%
นายธนพล กล่าวว่า วายดีเอ็มฯ เริ่มต้นจากบริษัท Adyim ทำธุรกิจออนไลน์มาร์เก็ตติ้งของบริษัทครอบคลุมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ทำตั้งแต่การวางแผนการตลาด วางกลยุทธ์ คิดวานสร้างสรรค์ ผลิตงานออกแบบเว็บไซต์ ทำแอพพลิเคชั่น ทำวิดีโอ ต่อมามีผู้ร่วมทุนจากประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น ทำให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ในการทำการตลาดดิจิทัล เมื่อเสริมกำลังด้วยการสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน คอนเนคชั่น และเครือข่ายทางธุรกิจจาก 3 ผู้ร่วมทุนใหม่ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้เราสามารถสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อผลักดันการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยให้เติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด มีบริษัทในเครือ 7 บริษัท ได้แก่ 1) Adyim : Digital Marketing Solution Hub ผู้ให้บริการทางด้านการทำการตลาดออนไลน์ 2) Gottimize: Performance Media Agency ให้บริการด้านการวางแผนและการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์ 3) Alt65 : เจ้าของแพลตฟอร์ Revu ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างรีวิวสินค้า ผ่าน Micro influencer ครอบคลุมครบทุก product category มีนักรีวิวในเน็ตเวิร์ก กว่า 8,000 คน และสร้างรีวิวมาแล้วกว่า หนึ่งหมื่นรีวิวบนโลกออนไลน์ ,
4) Adpocket: Mobile Screen Lock Ads แอปพลิเคชั่น เจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทย ที่เปลี่ยนหน้าจอมือถือให้เป็นพื้นที่โฆษณา ติดตัวไปกับผู้บริโภคได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยฐานผู้ใช้งานมากถึง 5 ล้านคน , 5) Doer: Freelance Management Platform แพลตฟอร์มรับพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่มีทีมงานมากกว่า 200 คน , 6) AVG: บริษัททำ Digital Marketing สำหรับเจาะตลาดจีน และนักท่องเที่ยวจีนในไทย เป็นบริษัทเดียวในไทย ที่เป็น Official Partner กับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในจีน Baidu, Tencent , Alibaba และ 7) Nawin: บริษัท Creative Consulting ที่ช่วยให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจกับลูกค้า เริ่มต้นแต่การคิด Branding จนไปถึงการหา Business Model ใหม่หรือแม้กระทั่งไอเดียในการทำโฆษณา