บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/61 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทฯจากเดิมมูลค่าหุ้นละ 10 บาท เป็น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ด้วยคะแนนเสียง 209,587,642 เสียง หรือคิดเป็น 100% โดยการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทฯเพิ่มเป็น 2,578,334,070 หุ้น จากเดิมที่ 257,833,407 หุ้น
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงราคาพาร์ในครั้งนี้จะไม่กระทบกับแผนดำเนินงานของบริษัท โดยฝ่ายจัดการนั้นยังคงเน้นการบริหารงานที่จะให้ผลงานเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี และเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก
"การแตกพาร์นั้นขึ้นอยู่กับราคาหุ้น ณ เวลานั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราได้ปฏิเสธมาตลอด เพราะก็ยังมีหุ้นหลายๆบริษัทที่ซื้อขายที่ราคาราวๆ 100 บาท แต่เมื่อราคาปรับขึ้นมาถึงปัจจุบันหรือไม่ต่ำกว่า 300 บาท เราก็ถึงมามองว่าถึงเวลาแล้ว ซึ่งเราก็ทำตามอุตสาหกรรมที่แตกพาร์เหมือนกัน อาทิ PTT ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับราคาหุ้น เรายังคงเน้นการบริหารงานที่ดีมีการปรับกลยุทธ์ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเรายังคงมั่นใจในผลประกอบการของเราจะเติบโตในทุกๆปี"นายระเฑียร กล่าว
นายระเฑียร กล่าวว่า บริษัทยังคงแผนการดำเนินงานในปีนี้ไว้ โดยบริษัทฯมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 3.3 พันล้าน ซึ่งจะเห็นทิศทางการเติบโตตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมามีการเติบโตถึง 65% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล และปัจจุบันบริษัทถือว่ามีความเข้มแข็งมาก โดยามีการตั้งสำรองสูงที่สุดในอุตสาหกรรมที่ราว 6,000 ล้านบาท
สำหรับผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐนั้น นายระเฑียร กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยมองว่ามีผลกระทบระยะสั้น อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีการเติบโตจากรายได้การท่องเที่ยวในสัดส่วนค่อนข้างมากจะยังช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยได้ ด้วยการประเมินจากหลายสถาบันยังคงยืนยันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ในระดับสูงที่สุดในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา