นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล่า (ALLA) เปิดเผยว่า บริษัทจัดทำแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยการรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ คืองานระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ "Automate Warehouse" หลังจากเริ่มบุกตลาดตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดี และมีความต้องการเข้ามาค่อนข้างมาก เพราะจุดเด่นของบริษัทสามารถตอบโจทย์การให้บริการสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจเดิมและยังเป็นธุรกิจหลัก คือ การให้บริการ เครน ประตูอุตสาหกรรมในโรงงานอุตสาหกรรม โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นด้วยการเจาะตลาดต่างประเทศ ในเบื้องต้นนั้นจะอาศัยการให้บริการไปพร้อมกับกลุ่มลูกค้าที่มีแผนขยายฐานการผลิตและการลงทุนไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะภูมิภาคใกล้เคียง
ส่วนความคืบหน้าล่าสุดอยู่ระหว่างการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศอินโดนีเซียคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะใช้เป็นรูปแบบในการเปิดตลาดในประเทศอื่น ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ เมียนมา และเวียดนาม เพื่อวางรากฐานให้บริษัทกลายเป็น International Brand ในอนาคต
"ผลของกลยุทธ์ในอันที่จะขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในธุรกิจเดิม ควบคู่ไปกับการบุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่นั้น บริษัทฯคาดหวังว่าจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 62 และในระยะ 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 64 รายได้รวมของบริษัท จะเกินกว่าระดับ 1,000 ล้านบาท และจะผลักดันให้บริษัทฯ กลายเป็นผู้ให้บริการครบวงจรในด้านการขนถ่ายอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการระบบจัดการคลังสินค้า และเชื่อมั่นว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากประเมินว่าความต้องการลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นภายหลังการเกิดของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) อีกทั้งหากมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 ตามแผนที่รัฐบาลกำหนดไว้ จะสนับสนุนให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชนตามมา" นายองอาจกล่าว
จุดเด่นสำคัญอีกประการหนึ่งของบริษัทฯ คือการมีฐานลูกค้าระดับชั้นนำและกระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหล็ก ยานยนต์ โรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า หรือแม้แต่ไฮเปอร์มาร์เก็ต นับว่าช่วยกระจายความเสี่ยงในแง่ของความต้องการได้ เพราะแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา
นอกจากนี้ บริษัทจะอาศัยฐานลูกค้าเดิม ต่อยอดธุรกิจอื่นเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจพลังงานทดแทน ในรูปแบบSolar Rooftop บนพื้นที่หลังคาของโรงงานธุรกิจ
สำหรับเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทฯในปี 61 ยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย เติบโตราว 10% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากทยอยการรับรู้มูลค่างานในมือ(Back log) ณ สิ้นงวดไตรมาส 1/61 ที่มีจำนวน 453 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯได้เข้าร่วมประมูลงานอย่างต่อเนื่อง
นายองอาจ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2/61 มั่นใจว่าดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า และใกล้เคียงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีความจำเป็นใช้งบด้านการตลาดเพื่อสนับสนุนการขายของธุรกิจ Automate Warehouse ซึ่งจะเริ่มเห็นผลชัดเจนตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป