บล.เอเชีย พลัส (ASP) ปรับลดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เป้าหมายปี 61 เหลือ 1,662 จุด จากเดิม 1,722 จุด โดยมองว่าสงครามการค้าโลกเกิดขึ้นแล้ว โดยตลาดหุ้นได้ตอบรับไปล่วงหน้า ก่อนที่กำไรตลาดหุ้นจะลดลงชัดเจนในปี 62 และต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องมานานกดดันค่า P/E ตลาดหุ้นต่ำลง จึงตัด P/E เป้าหมายจากเดิม 16 เท่า เป็น 15 เท่า ยังอิง EPS ตลาดเดิม ขณะที่ดัชนีเป้าหมายใหม่ upside น้อย แนะเน้นลงทุนหุ้น 40% และอิงเศรษฐกิจในประเทศ TTW, RATCH, DTAC, BBL, BH
ทั้งนี้ สงครามการค้าโลก กดดันเศรษฐกิจและการค้าโลกวงกว้าง สหรัฐมิได้เปิดสงครามกับจีนเท่านั้น แต่ยังเปิดศึกกับอีกหลายประเทศ คือ ยุโรป รัสเซีย เม็กซิโก แคนาดา อินเดีย และตุรกี จากการศึกษาของธนาคารโลก (World Bank) การกีดกันการค้าทุก 5 หมื่นล้านเหรียญฯ จะกดดันการค้าโลก 9% จีนเป็นผู้นำเศรษฐกิจในเอเชีย จึงกระทบเอเชีย ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของจีน (สัดส่วน 50% ของการค้าขายของจีนทั่วโลก) และน่าจะกดดันความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในลำดับตามมา (น้ำมัน ถ่านหิน และ ปิโตรเคมี เป็นต้น)
ภาคส่งออกไทยกระทบสงครามการค้าในลำดับแรกๆ แต่ละปีไทยค้าขายกับจีนราว 18.1% ของการค้าทั้งหมด แต่ค้าขายกับเอเชียสูงถึง 60% ภาคส่งออกจึงกระทบมากสุด โดยเฉพาะชิ้นส่วนฯ (HANA, KCE, DELTA, SVI) ส่วนกลุ่มอาหารส่งออกกระทบน้อย เพราะเป็นสินค้าจำเป็น และฐานผลิตในจีน หรือ ยุโรป เพื่อจำหน่ายในประเทศ (CPF และ TU)
ตลาดหุ้นเป็นดัชนีชีนำเศรษฐกิจทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ราคาหุ้นมักปรับลดไปล่วงหน้าเสนอ แต่กำไรตลาดหุ้นจะลดลงชัดเจนมากขึ้นในปีที่ 2 และ 3 จนกว่าจะประเมินผลกระทบฯ ได้ ตลาดหุ้นจึงจะหยุดลง ในรอบนี้จึงประเมินว่าหากสหรัฐจำกัดวงเงินกีดกันการค้าที่ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็น่าจะซึมซับในตลาดหุ้นแล้ว แต่หากยังคงประกาศเพิ่มเติมจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมยิ่งขึ้น
Fund Flow ที่ไหลออกจากไทยต่อเนื่องนับจากปี 56 แม้มีการสลับซื้อในบางปี แต่ยอดซื้อสุทธิน้อยมาก ทำให้สัดส่วนการถือครองต่างชาติลดลงเหลือ 22.85% (หากรวมกับ NVDR ยังอยู่ที่ 30% แต่สะท้อนการลงทุนระยะยาวในลดลง) กดดัน P/E ตลาดหุ้นไทยลดลงเหมือนที่เกิดขึ้นในอดีต (แกว่งตัว 18.6-13.4 เท่าในปี 56-57 และ 17.74-8.97 เท่าในช่วงซับไพรม์) เพื่อลดความเสี่ยงจึงปรับลดดัชนีเป้าหมายปี 61 ที่อิง P/E 16 เท่า เหลือ 15 เท่า โดยยังอิงกำไรตลาดปี 61 ที่เดิม
EPS ตลาดปี 61 ที่หุ้นละ 110.78 บาท และ P/E 15 เท่า ดัชนีเป้าหมายปีนี้ที่ 1,662 จุด มี upside 3% กลยุทธ์การลงทุน ให้น้ำหนักลงทุน 40% เน้นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ และมีเกราะป้องกันจากดอกเบี้ยขาขึ้น ชอบ TTW, RATCH, BJC, DTAC, ADVANC, BBL, KBANK และ BH