ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร MIDA ที่ "BBB-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 10, 2018 11:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ไมด้า แอสเซ็ท (MIDA) ที่ระดับ "BBB-" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลกำไรที่สม่ำเสมอจากบริการสินเชื่อซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ได้แก่ ธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดำเนินงานโดยบริษัทเอง สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ดำเนินการโดยบริษัทย่อยคือ บริษัท ไมด้า ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไมด้า ลาว จำกัด อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากสถานภาพทางตลาดของธุรกิจเช่าซื้อที่ค่อนข้างเล็ก รวมทั้งฐานรายได้ที่ค่อนข้างน้อยของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรม นอกจากนี้ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงอาจเป็นข้อจำกัดในการขยายฐานรายได้ของบริษัทในระยะสั้นถึงระยะปานกลางอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ธุรกิจเช่าซื้อสร้างรายได้ที่สม่ำเสมออย่างมีนัยสำคัญให้กับบริษัท รายได้จากธุรกิจเช่าซื้อซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 54% ของรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2561 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สร้างรายได้เป็นสัดส่วน 22% ธุรกิจโรงแรม 15% และธุรกิจให้เช่าพื้นที่และธุรกิจอื่น 9% รายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจเช่าซื้อสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการที่บริษัทสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนจากธุรกิจเช่าซื้อเฉลี่ยที่ 28% และการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อที่ไม่มากนัก

ธุรกิจเช่าซื้อจะขยายตัวไม่มากนัก

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะมีการเติบโตของพอร์ตของสินเชื่อคงค้างที่ไม่มากในช่วงปี 2561- 2563 เนื่องจากมูลค่าสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตค่อนข้างช้าจากการแข่งขันที่สูงและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระยะปานกลาง ณ สิ้นปี 2560 มูลค่าสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตขึ้น 8% เป็น 3,893 ล้านบาทเทียบจากปีก่อน ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 บริษัทยังรักษามูลค่าสินเชื่อคงค้างไว้ใกล้เคียงกับสื้นปี 2560

การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรมค่อนข้างจำกัด

ธุรกิจโรงแรมของบริษัทยังสร้างฐานรายได้ที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจโรงแรมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการบริหารโรงแรมเพียง 6 แห่ง บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 16% ในไตรมาสแรกของปี 2561 จากน้อยกว่า 10% ก่อนปี 2559 บริษัทมีโรงแรมแห่งใหม่ในจังหวัดระยองซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต

ผลประกอบการธุรกิจโรงแรมของบริษัทส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการในหัวหินและกาญจนบุรีเป็นหลัก สัดส่วนรายได้จากโรงแรมในต่างจังหวัดคิดเป็น 67% เมื่อเทียบกับรายได้จากโรงแรมในกรุงเทพ 33% แต่อัตราการเข้าพักของโรงแรมในกรุงเทพจะสูงกว่าที่ 74% เมื่อเทียบกับโรงแรมในต่างจังหวัดที่มีอัตราเข้าพักเพียงแค่ 42% อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของโรงแรมในต่างจังหวัดจะสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องของโรงแรมไมด้า เดอ ซี หัวหิน และ โรงแรม เอจ ออฟ หัวหิน ซึ่งคือ "Redisson Blu" เดิม ค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 2,345 บาทต่อคืนในปี 2560 เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2559 ในขณะที่รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของโรงแรมในกรุงเทพค่อนข้างต่ำที่ 960 บาทต่อคืน

รายได้ของธุรกิจโรงแรมมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากทีมผู้บริหารมีประสบการณ์จากการบริหารโรงแรมที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนจำนวนมากอาจจะเป็นข้อจำกัดในการขยายโรงแรม

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตไม่มาก

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเติบโตไม่มาก เมื่อพิจารณาจากจำนวนโครงการและรายได้ที่ยังไม่มาก ถึงแม้ว่าบริษัทมีประวัติการดำเนินงานในด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยอมรับได้ แต่บริษัทมีขนาดที่เล็กและเน้นโครงการในจังหวัดนครปฐมและขอนแก่นเท่านั้น บริษัทกำลังพัฒนาไม่มากนักเนื่องจากกลยุทธ์ของผู้บริหารที่มีความระมัดระวัง โดยเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ในจังหวัดนครปฐมและขอนแก่นเป็นหลัก

ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวน 13 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวม 3,256 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 64% ของมูลค่ารวมของโครงการ โดยที่ 50% เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและอีก 50% เป็นทาวน์เฮ้าส์ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 457 ล้านบาทที่จะรับรู้รายได้ภายในปีนี้และปีหน้า รายได้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 600 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งคาดว่า รายได้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปีใน 3 ปีข้างหน้า

สภาพคล่องทางการเงินและภาระหนี้อยู่ในระดับปานกลาง

บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่ค่อนข้างมากและสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ บริษัทมีแหล่งเงินทุนค่อนข้างหลากหลายจากสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมทั้งการออกตั๋วแลกเงิน และการออกหุ้นกู้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม บริษัทมีหนี้สินอยู่ 4.8 พันล้านบาท โดยที่ 2,130 ล้านบาทมีกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ทริสเรทติ้งคาดหวังว่า เงินผ่อนชำระจากธุรกิจเช่าซื้อจะเพียงพอต่อการชำระคืนเงินกู้ นอกจากนี้ การที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มทุนได้เมื่อต้องการ อย่างไรก็ตาม หากตลาดตราสารหนี้กลับมาอ่อนแออีกครั้ง เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูง อาจจะทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นจากการกู้เงินใหม่หรือรีไฟแนนซ์หุ้นกู้หรือตั๋วแลกเงิน ต้นทุนทางการเงินของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.1% ในไตรมาสแรกของปี 2561 จาก 4.4% ในปี 2559

ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางตั้งแต่ปี 2558 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเป็น 0.95 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2561 ทั้งนี้ บริษัทมีข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ถือหุ้นกู้ที่ต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนไม่เกิน 2 เท่า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่เกิน 1 เท่าเมื่อพิจารณาจากแผนลงทุนของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและผลประกอบการทางการเงินของธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเช่าซื้อ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรม เอาไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงคำนึงถึงภาระหนี้ของบริษัทที่ยังอยู่ในระดับปานกลาง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงมีจำกัดในระยะเวลาปานกลาง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งสภาพคล่องที่เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ และภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทสูงเกิน 1 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ