นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงปลายปีนี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ราวปลายปีนี้หรืออย่างช้าช่วงต้นปี 62 เพื่อระดมทุนมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีบริการครบถ้วนมากขึ้น
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ มองว่ามีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะรีบาวด์ระยะสั้นมาที่ระดับ 1,740-1,760 จุด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก และได้รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว โดยยังต้องติดตามทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/61 ที่จะทยอยออกมาในช่วงนี้ หากออกมาดีมากก็มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปทดสอบ 1,760-1,800 จุดได้
อย่างไรก็ตาม หากปัจจัยสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐ และปัจจัยการเมืองในประเทศ มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนดีมาก ก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะกลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง ขณะที่การเบิกจ่ายของภาครัฐหากออกมาได้ตามแผนที่วางไว้ก็จะกระตุ้นกำลังซื้อของคนในประเทศได้ด้วย
"ตลาดหุ้นไทยถือว่าได้รับปัจจัยลบไปค่อนข้างมากแล้ว ประกอบกับเงินทุนต่างชาติไหลออกน้อยลง จากเดิมที่ 2,000-5,000 ล้านบาทต่อวัน แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ 1,000-2,000 ล้านบาท ก็ถือว่าลดลงไปมากแล้ว ซึ่งเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะกลับมารีบาวด์ได้แต่เป็นเพียงระยะสั้น เพราะตลาดยังมีปัจจัยลบที่ต้องติดตาม แต่หากจะกลับมาขึ้นระยะยาวก็จะมองในปัจจัยหลัก ๆ คือความชัดเจนของปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามทางการค้า ขณะที่ในประเทศเองก็ต้องดูเรื่องการเลืกตั้ง การเบิกจ่ายของภาครัฐ และกำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาดี ก็จะเป็นทิศทางที่ปรับขึ้นระยะยาวได้"นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นต่าง ๆใ นภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลงมาก ส่งผลให้ราคามีความเหมาะสมในการทยอยเข้าลงทุน จึงแนะนำว่าให้ลดสัดส่วนการถือเงินสดลงเหลือ 20-30% จากเดิมที่ 40-50% แล้วนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นประเทศไทย เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย ที่มีทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดี
ทั้งนี้ แนะนำลงทุนกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาพลังงานปรับตัวขึ้นมาในระดับที่ดี โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบที่ราว 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ถือเป็นราคาที่เหมาะสม, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายรอโอน (Backlog) จำนวนมากก็จะรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/61 และช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศตามนโยบายภาครัฐ และโดยปกติจะฟื้นตัวมาก ๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งขึ้น อาทิ CPALL, BJC และ HMPRO