FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เหตุเชื่อมั่นเศรษฐกิจและงบบจ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 11, 2018 10:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ย.61) ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 10.55% มาอยู่ที่ 101.33 ถือว่าเป็นภาวะทรงตัว (Neutral) ที่มีค่าดัชนีระหว่าง 80-120 และนับว่าอยู่ในภาวะทรงตัวเป็นที่สามติดต่อกัน

ผลสำรวจชี้ว่า ทิศทางการลงทนในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศจากตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. ขยายตัว 11% และ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับคาดการณ์ GDP Growth ปี 2561 เพิ่มขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.4% และนักลงทุนเชื่อมั่นว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังมีอัตรากำไรในทิศทางที่ดี

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยสถานการณ์การเมืองและกำหนดวันเลือกตั้งที่คาดว่าจะเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 และเงินทุนไหลออกจากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนติดตามมากที่สุด โดยประเด็นติดตามยังคงเป็นความชัดเจนของผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้า นโยบายกีดกันการลงทุนของสหรัฐฯและประเทศคู่ค้าหลัก และอาจขยายไปสู่ประเทศอื่นๆทั่วโลก รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ

สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณา คือ สถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มประเทศในยุโรปยังมีความไม่แน่นอน หลังจากเกิดความขัดแย้งซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ของเยอรมนีและนโยบายทางการเงินของธนาคารในยุโรป และแนวโน้มความผันผวนของราคาน้ำมันจากการประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพื่อรองรับชดเชยอุปทานที่ลดลงจากเวเนซูเอลาและการประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านของสหรัฐฯ

"โดยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตต่อเนื่องและเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ความกังวลสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นมากที่สุด นักลงทุนเฝ้าติดตามทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศในระยะต่อไป ภายหลังจากที่มีตัวเลขขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปี 2561 จากผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการลงทุนของสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า และนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ