นอกจากนี้คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดอยู่ที่ 110.58 บาทต่อหุ้น ลดลงจากเดือนก่อนที่คาด 110.64 บาทต่อหุ้น และ ปรับลด EPS Growth ลงมาเหลือเติบโต 10.78% จากเดือนก่อนคาด 11.04 %
ทั้งนี้ 5 หุ้นเด่น ที่กลุ่มสำรวจแนะนำตรงกัน ได้แก่ บมจ.บ้านปู (BANPU) โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่แข็งแกร่งเป็นตัวหนุนกำไรเติบโตในไตรมาส 2/61 , ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น , บมจ.ซีพีออล์ (CPALL) โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนการใช้จ่ายบริโภคในประเทศให้มีการเติบโต , บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มปิโตรเคมีจากการซื้อกิจการและส่วนต่าง PTA เพิ่มขึ้น และ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ โดดเด่นทั้งกำไรและเงินปันผล
สำหรับ การสำรวจครั้งนี้มีตัวแทนทีมวิเคราะห์การลงทุน ทั้งหมด 29 บริษัท แบ่งเป็น บริษัทหลักทรัพย์ 24 บริษัท ,บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 4 บริษัท และธุรกิจโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 บริษัท
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 37.93% มองว่าดัชนี SET ในระยะสั้น เป็นไปในทิศทางบวก ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 34.48% มีมุมมองต่อตลาด Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก และ 27.59% มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางลบ พร้อมทั้งคาดว่าดัชนี SET ณ สิ้นเดือน ก.ค.จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,629 จุด โดยปัจจัยที่มีผลกระทบในระยะสั้น คือเรื่องสงครามการค้าโลก ,ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 และ Fund Flow ของต่างชาติและกองทุน
ส่วนระยะเวลาที่เหลือจากนี้ไปตลอดปีนั้น คาดว่ามีปัจจัยที่จะส่งผลด้านบวก ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ ที่รวมแนวโน้มการเลือกตั้ง เป็น 2 ปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสำรวจเทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจโลก ได้รับการโหวตมาที่ 41.38% ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจ ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลด้านลบ ได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยของเฟด ,Fund Flow ไหลออกของต่างชาติ และการเมืองในต่างประเทศ