นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ย.61) ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 10.55% มาอยู่ที่ 101.33 ถือว่าเป็นภาวะทรงตัว (Neutral) ที่มีค่าดัชนีระหว่าง 80-120 และนับว่าอยู่ในภาวะทรงตัวเป็นที่สามติดต่อกัน
ผลสำรวจชี้ว่า ทิศทางการลงทนในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศจากตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. ขยายตัว 11% และ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับคาดการณ์ GDP Growth ปี 2561 เพิ่มขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.4% และนักลงทุนเชื่อมั่นว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังมีอัตรากำไรในทิศทางที่ดี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยสถานการณ์การเมืองและกำหนดวันเลือกตั้งที่คาดว่าจะเลือกตั้งในช่วงต้นปี 62 และเงินทุนไหลออกจากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนติดตามมากที่สุด โดยประเด็นติดตามยังคงเป็นความชัดเจนของผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้า นโยบายกีดกันการลงทุนของสหรัฐฯและประเทศคู่ค้าหลัก และอาจขยายไปสู่ประเทศอื่นๆทั่วโลก รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ
สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณา คือ สถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มประเทศในยุโรปยังมีความไม่แน่นอน หลังจากเกิดความขัดแย้งซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ของเยอรมนีและนโยบายทางการเงินของธนาคารในยุโรป และแนวโน้มความผันผวนของราคาน้ำมันจากการประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพื่อรองรับชดเชยอุปทานที่ลดลงจากเวเนซูเอลาและการประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านของสหรัฐฯ
"โดยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตต่อเนื่องและเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ความกังวลสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นมากที่สุด นักลงทุนเฝ้าติดตามทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศในระยะต่อไป ภายหลังจากที่มีตัวเลขขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปี 2561 จากผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการลงทุนของสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า และนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ"
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนมิ.ย. เคลื่อนไหวในทิศทางลดลงตลอดเดือน จากระดับสูงสุดในช่วงต้นเดือนที่ 1,737 จุด มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ทำให้ดัชนีฯ ลดลงมาอยู่ที่ 1,595 จุดในช่วงปลายเดือน โดยมีปัจจัยจากแรงขายสุทธิต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาและความกังวลถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการลงทุน ที่มีแนวโน้มขยายตัวระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า ทั้งประเทศจีนและกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่มีการปรับขึ้นไปแล้ว 2 ครั้ง และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 2 ครั้งในปีนี้
สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร เพราะผ่านผลกระทบเรื่องค่าการแข่งขันฟรีค่าธรรมเนียมผ่านการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้นมาแล้ว รวมถึงราคา Valuation หุ้นเริ่มอยู่ในระดับน่าลงทุน ขณะที่หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจเหล็ก ส่วนภาพรวมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเริ่มดีขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมามีการขายเพื่อปรับพอร์ตไปค่อนข้างมาก ขณะที่ Valuation หุ้นไทยที่ค่อนข้างถูก และสถานะการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติที่อยู่ระดับต่ำในรอบ 10 ปี ก็จะทำให้ต่างชาติเริ่มชะลอการขายหุ้นไทย
นายไพบูลย์ กล่าวถึงกรณีการทุจริตภายในของ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ว่า เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่เชื่อมั่นว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะติดตามต่อเนื่อง และให้ บมจ.ปตท. (PTT) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ พยายามคลี่คลายปัญหาภายในแล้วเสร็จ แม้ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่มีการตั้งคำถามโดยตรง แต่เชื่อว่ามีการจับตาเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธรรมาภิบาลทั้งตลาด เพราะเชื่อว่าบริษัทจดทะเบียนกว่า 99% ยังมีธรรมาภิบาลอยู่ในระดับที่ดี