นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่พักอาศัยปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท จากการรับรู้ยอดโอนโครงการ THE ESSE อโศก มูลค่าโครงการรวม 4.9 พันล้านบาทที่ตั้งเป้าจะมียอดเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/61 ราว 1.2 พันล้านบาท และจะรับรู้รายได้จากบ้านเดี่ยวโครงการ SANTIBURI THE RESIDENCES (สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนซ์) มูลค่าโครงการรวม 6.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเปิดตัวโครงการดังกล่าวได้ในช่วงเดือนก.ย.นี้ คาดหวังยอดขายที่ 1 พันล้านบาท
บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 4-5 พันล้านบาท โดยจะมาจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดจำนวน 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการละประมาณ 1 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE ESSE Asoke (ดิ เอส อโศก), THE ESSE at SINGHA COMPLEX (ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์) และ THE ESSE Sukumvit 36 (ดิ เอส สุขุมวิท 36) มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งมียอดขายโดยรวมแล้วประมาณ 80%
ล่าสุด บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่ EYSE (อีส) โดยได้ประเดิมโครงการแรก "EYSE Sukhumvit 43" (อีส สุขุมวิท 43) ซึ่งถือว่าเป็นโครงการคอนโดโลว์ไรซ์ใจกลางสุขุมวิท และเป็นโครงการที่ 4 ของสิงห์ เอสเตท บนแนวคิด The Hidden Treasure ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ 1.4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแนวราบความสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร 107 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13.99 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 4/61 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/63 ซึ่งโครงการจะเปิด Pre-Sale ในวันที่ 21-22 ก.ค.61
บริษัทตั้งเป้ายอดขายโครงการ อีส สุขุมวิท 43 ในการเปิดขายครั้งนี้ไว้ที่ 50% โดยกลุ่มเป้าหมายจะเน้นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามช่วงอายุและไลฟสไตล์ ได้แก่ Single Adult เป็นกลุ่มที่ต้องการคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งห้องต้องมีขนาดพื้นที่กว้าง เพราะใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าใช้ชีวิตข้างนอก ชอบความเป็นส่วนตัว กลุ่มที่สอง คือ Small Family ที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่อใช้ชีวิตในวันจันทร์ถึงศุกร์โดยไม่ต้องฝ่ารถติดเพื่อมาทำงานหรือส่งลูกเรียนในเมือง และกลุ่มที่ 3 คือ Early Stage Retiees ที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ นอกเมือง แล้วเริ่มรู้สึกว่าบ้านเป็นภาระที่ต้องดูแล ไม่มีลูกหรือลูกแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด จึงมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวก เพื่อจะได้ไม่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองบ่อยๆ
ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนจะเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีลักษณะเป็น Thoughtful Investor หรือนักลงทุนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีคอนเซปท์โครงการที่ตนเองชอบ โดยจะซื้อโครงการไว้เพื่อทั้งอยู่อาศัยเองและสามารถขายต่อได้ด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงทุนในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น
"ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ที่มีสัดส่วนการพัฒนาโครงการถึง 80% โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนขึ้นไป ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งจากผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง ชาวต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน ทำให้สิงห์ เอสเตทมองเห็นโอกาสจากตลาดกลุ่มนี้ จึงได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ที่มีจุดเด่นในแง่ของความเป็นส่วนตัว"
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ SANTIBURI THE RESIDENCES (สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนซ์) มูลค่าโครงการรวม 6.5 พันล้านบาท ในช่วงเดือนก.ย.นี้ และในอนาคต สิงห์ เอสเตท ยังคงมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8.5 พันล้านบาทต่อปี ในทำเลที่มีประสิทธิภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยังเน้นการทำตลาดลักชัวรี เจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งอาศัยอยู่เองและกลุ่มนักลงทุน
กรณีที่ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ… ซึ่งกฏหมายฉบับนี้ได้กำหนดเพดานการจัดเก็บจะไม่เกิน 5% ของฐานภาษี โดยคิดจากส่วนต่างของราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ นับจากวันที่รัฐเริ่มก่อสร้างหรือวันที่พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้นั้น เบื่องต้นบริษัทมองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย