นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก ซึ่งคงจะตอบรับความคาดหวังที่สหรัฐฯกับจีนจะเจรจาการค้ากันได้ หลังจากที่นายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีหลังจากที่สหรัฐฯได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ส่วนปัจจัยในประเทศก็มีเรื่องที่ดีจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับตัวเลขการส่งออกปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 9% จากเดิมคาดโต 8% และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ได้ลงมติเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ 5 คน ซึ่งเพียงพอที่จะทำหน้าที่ตามกฎหมายได้ ดังนั้น การเลือกตั้งจึงน่าจะเป็นไปตามโรดแมพที่วางไว้
พร้อมให้แนวรับ 1,633-1,635 ถัดไป 1,628-1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 ถัดไป 1,660-1,665 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,924.89 จุด เพิ่มขึ้น 224.44 จุด (+0.91%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,798.29 จุด เพิ่มขึ้น 24.27 จุด (+0.87%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,823.92 จุด เพิ่มขึ้น 107.30 จุด ( +1.39%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 209.66 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.23 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 208.35 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 31.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.52 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 7.10 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 21.90 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ก.ค.61) 1,640.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด (+0.26%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 560.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ก.ค.61) ปิดที่ 70.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 5 เซนต์ หรือประมาณ 0.09%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ก.ค.61) ที่ 5.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.19 แนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.10-33.30 รอติดตามข้อมูลส่งออก-นำเข้าของจีน
- แบงก์ชาติยอมรับเข้าแทรกแซงค่าเงินป้องบาทอ่อนเร็ว หวังช่วยภาคธุรกิจปรับตัวทัน สะท้อนผ่านทุนสำรองลดลงราว 5 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งเดือน พร้อมสั่งจับตาสงครามค่าเงิน ชี้กระทบหลายประเทศ รวมทั้งไทย ห่วงกระทบทางอ้อมต่อซัพพลายเชน
- กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกปี 2561 เป็นโต 9% จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่คาดโต 8% เพราะขณะนี้เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวดีขึ้น ประกอบกับมีการทำงานอย่างหนักร่วมกับผู้ส่งออกในการขยายตลาดส่งออก ทำให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องสงครามการค้า แต่ก็ได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว
- องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกปรับอันดับการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมไทยมาอยู่ที่ 44 ของโลก ดีขึ้น 7 อันดับ เผยดีหมดทั้งด้านการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ การส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง และการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร ระบุยังชมเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนานวัตกรรมด้วย "สนธิรัตน์" สั่งเดินหน้าสร้างปัจจัยแวดล้อมให้มีการพัฒนานวัตกรรมต่อ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 46.2 ในการสำรวจช่วงเดือน พ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 46.5 ในการสำรวจช่วงเดือน มิ.ย. 2561 สะท้อนความกังวลที่บรรเทาลงของครัวเรือนต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3/2561 (เดือน ก.ค.-ก.ย.) โดยเฉพาะภาระค่าครองชีพที่ครัวเรือนมีความกังวลลดลง หลังจากที่ภาครัฐมีมาตรการควบคุมดูแลค่าสาธารณูปโภคไปจนถึงสิ้นปี 2561 เช่น การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ราคาน้ำมันดีเซล และค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2561
*หุ้นเด่นวันนี้
- KTC (เคทีบีฯ ให้ราคาเหมาะสม 36.30 บาท โดยวันนี้จะเทรดพาร์ใหม่วันแรกหุ้นละ 1 บาท ขณะที่คาดกำไรสุทธิ 2Q61 ที่ 1,267 พันล้านบาท (+61%YoY และ +5%QoQ) จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ 6.2% โดยได้รับแรงหนุนจากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเดือน เม.ย. ที่ขยายตัว 7.3% นอกจากนี้มองว่าข้อบังคับการให้สินเชื่อใหม่ของ ธปท. ที่บังคับตั้งแต่ 2H61 จะส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อจะดีขึ้น คาด NPL จะลดลงที่ 1.32% ส่งผลให้บริษัทตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสุทธิที่ 628 ล้านบาท (-37%YoY แต่ +11%QoQ) คงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 4.9 พันล้านบาท (+47 %) อย่างไรก็ตามแม้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคม Cashless และการบริหารจัดการสินเชื่อที่ดีขื้น แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบ้างแล้ว
- ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 25.40 บาท คาดกำไร Q2/61 จะโตได้ทั้ง Q-Q และ Y-Y อีกทั้งยังเป็น Growth Stock ที่คาดกำไรปีนี้โตเด่น +42% Y-Y และปีหน้า +31% Y-Y ด้าน Backlog รองรับรายได้ปี 2561-2562 ไปมากกว่าครึ่งของที่คาด และมีการขยายธุรกิจไปโรงแรมและออฟฟิตให้เช่าเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ราคาหุ้นร่วงจนทำให้ PE2561 เหลือเพียง 11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 14 เท่า และคาดปันผลน่าสนใจ 4% ต่อปี
- DRT (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อลงทุน"เป้า 6.5 บาท แนวโน้มปี 2561 ประเมินยอดขายของ DRT เท่ากับ 4,347 ล้านบาท เติบโต 4% ด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดีประมาณ 27.4% จากการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง 80-90% และ ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน คาดจะมีกำไรสุทธิ 444 ล้านบาท เติบโต 8% DRT มีกระแสเงินสูงประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี ทำให้ DRT ยังมีการจ่ายปันผลอัตราที่สูง ด้านเทคนิคระยะสั้นแกว่งสร้างฐานในกรอบ 5.6-5.9 บาท
- EPG (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 9 บาท ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเป็นหุ้นที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลง และค่าเงินบาทอ่อนค่า