นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ดู เดย์ ดรีม (DDD) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพิจารณาปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ลงจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 30% เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากกรณีการจับกุมสินค้ารายอื่นที่ไม่มี อย. ประกอบกับการกระจายสินค้าของบริษัทเป็นไปได้ล่าช้ากว่าแผน
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 70% จากปีก่อน 68% และอัตรากำไรสุทธิ 23% จากปีก่อน 21% เนื่องจากบริษัทฯมีการขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูงมากขึ้น และใช้กำลังการผลิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 2-3 บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตอย่างแน่นอน แม้ว่าอาจจะต่ำกว่าแผนก็ตาม ขณะที่บริษัทยังมีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงไตรมาส 4/61 นอกเหนือจากแบรนด์หลักคือ"สเนลไวท์" เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าประเภท Premium mass ในระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น หรือราคา 500-600 บาท นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาเข้าซื้อกิจการแบรนด์เครื่องสำอางภายในประเทศ 2-3 ราย คาดหวังจะได้ข้อสรุปเร็วที่สุด แต่ยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาได้
พร้อมกันนั้น บริษัทยังวางแผนขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนในช่วงเดือน ส.ค.นี้ โดยจะถือหุ้นในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 51% และเริ่มจำหน่ายสินค้าในช่วงไตรมาส 4/61 ทันที โดยประเทศดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงในอาเซียน ขณะที่ปัจจุบันบริษัทได้ส่งสินค้าไปขายในเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตเร็วแต่ขนาดของตลาดนั้นไม่ใหญ่มาก โดยมียอดขายรวมอยู่ราว 20 ล้านบาท
สำหรับตลาดในประเทศจีนนั้น คาดว่าปีนี้รายได้จะเติบโตได้ราว 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 500 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่สินค้าของบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานด้านอาหารและยาของจีนแล้ว และสามารถปรับรูปแบบของแพกเกจจิ้งได้ตามที่ทางการจีนกำหนด ส่งผลให้บริษัทฯสามารถจำหน่ายสินค้าไปในทุกช่องทาง
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเพิ่มผู้กระจายสินค้ารายใหม่ในจีนอีก 1 ราย โดยจะเน้นการขายสินค้าในรูปแบบ Business to Business เป็นหลัก จะช่วยให้การจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงไตรมาส 4/61
"ปีนี้เรายังคงหวังการเติบโตที่ 30% แต่เราก็คงต้องยอมรับว่าเป็นไปได้ยากจากผลกระทบจากตลาดจีนที่มีความล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อง เนื่องจากทาง อย. จีนมีคำสั่งให้ปรับแพกเกจจิ้งสินค้าใหม่ แต่ตอนนี้เราก็ได้ทำไปตามกำหนดแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศได้ถูกผลกระทบจากผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่เรายืนยันว่าของเราได้รับมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ที่ถูกต้องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเรามั่นใจว่าผลประกอบการเติบโตอย่างแน่นอน แต่จะโตเท่าไหร่นั้นขอดูช่วงงบไตรมาส 3/61 ออกมาก่อน"นายปิยวัชร กล่าว
นายปิยวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงเป้าหมายระยะยาวที่จะเป็นผู้นำในตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าในไทยที่มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7-8% โดยมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ปัจจุบันอยู่ที่ 6% หรืออันดับ 6 ของตลาด ซึ่งบริษัทมียอดขายในส่วนของ Hypermarket ได้ดี และมีแนวโน้มการเติบโตในร้านสะดวกซื้อมากขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวผิวหน้ากับครบ 31 รายการ จากปัจจุบัน 8 รายการ
สำหรับกระแสข่าวลือที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ว่าบริษัทถูกตรวจสอบคำสั่งซื้อปลอมนั้น นายปิยวัชร กล่าวว่า บริษัทขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งที่ผ่านมานีลเซ็น ประเทศไทย เป็นผู้จัดทำรวบรวมสถิติทางการตลาดที่สามารถยืนยันสถานะทางการตลาดของบริษัท และบริษัทเน้นการขายสินค้าผ่าน Modern Trade ซึ่งไม่สามารถปลอมแปลงคำสั่งซื้อได้อยู่แล้ว
ขณะที่การขายสินค้าในประเทศจีนนั้นยังไม่ได้ทำยอดขายมากนัก โดยคาดว่าคำสั่งซื้อก็จะค่อยๆเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และทางบริษัทได้มีการจำหน่ายสินค้าผ่านผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ 1 ราย และเตรียมเพิ่มเข้ามาอีก 1 ราย ซึ่งเป็นรายใหญ่เช่นกัน จึงสามารถมั่นใจว่าจะไม่มีทางที่จะเกิดคำสั่งซื้อปลอมแน่นอน
ส่วนการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา และปัจจุบันราคาหุ้นลดลงต่ำกว่าราคา IPO นั้น นายปิยวัขร มองว่า เป็นเรื่องความคาดหวังของผู้ลงทุนจากการเติบโตในระดับสูง หลังจากบริษัทเคยเติบโตเฉลี่ยสูงกว่า 60% แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงนี้บริษัทฯได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรมพอสมควร ทำให้การเติบโตไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง แต่บริษัทไม่ได้กังวลมากนักและยังมุ่งมั่นทำผลประกอบการให้ออกมาดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปีนี้บริษัทฯยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการจะเติบโตแน่นอน แต่จะมากน้อยเพียงไดนั้นยังคงต้องรอติดตาม