โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ศุภาลัย (SPALI) มองแผนเข้าซื้อหุ้น บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) เป็นกลางถึงบวกเล็กน้อย จากการที่ MK มีสินทรัพย์เป็นที่ดินมากกว่า 1 พันไร่ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ SPALI ในอนาคต
ขณะที่เงินลงทุนอย่างน้อย 4 พันล้านบาทที่พร้อมใช้ซื้อกิจการ หรืออาจจะมากกว่านี้ หากต้องเพิ่มราคาทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) ใน MK ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อแผนการลงทุนทั้งในส่วนการเปิดโครงการใหม่ และการจ่ายเงินปันผล เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่มากพอ รวมถึงยังจะมีเงินที่ได้รับจากการแปลงสภาพวอร์แรนต์เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ฐานะทางการเงินของ SPALI ยังมีความแข็งแกร่ง
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 คาดว่าจะเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กำไรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก จากการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ยอดขายก็จะปรับตัวดีขึ้นด้วยจากการแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 25 โครงการ มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท
ราคาหุ้น SPALI ปิดช่วงเช้าอยู่ที่ 23.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.06%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 27.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 30.00 เคที ซีมิโก้ ซื้อ 27.50 กสิกรไทย ซื้อ 28.25 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ซื้อ 28.00 เออีซี ซื้อ 28.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 28.30
นางสาวเติมพร ตันติวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดีลการเข้าซื้อกิจการ MK ของ SPALI ครั้งนี้มองเป็นกลางถึงบวกเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่จะได้มาหลังการทำเทนเดอร์ฯ ซึ่งหากได้หุ้น MK มากกว่า 50% ก็จะต้องนำมาจัดทำงบการเงินรวมด้วย แต่หากน้อยกว่า 50% การบันทึกผลการดำเนินงานก็ขึ้นอยู่กับหลักการบัญชีในการบันทึกสัดส่วนแต่ละระดับการถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเห็นว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ด้วยเงินลงทุนอย่างน้อยราว 4 พันล้านบาท หรืออาจจะมากกว่านั้น หากจะมีการเพิ่มราคาเทนเดอร์ฯจากเดิมที่ 4.10 บาท/หุ้น ก็จะไม่กระทบต่อแผนธุรกิจของ SPALI ในปีนี้และปีหน้า รวมถึงการจ่ายเงินปันผลด้วย เนื่องจากมีกระแสเงินสด (cash flow) ที่ค่อนข้างดี จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ รวมถึงเงินที่ได้จากการทยอยแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ SPALI-W4 ด้วย
"เรามองกลาง ๆ ถึงบวกเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่จะเข้ามาถือหลังเทนเดอร์ฯว่าจะ Take Control หรือเป็นPassive Investor หากได้เกิน 50% ก็จะต้องรวมงบ MK เข้ามาทั้งในส่วนรายได้และกำไร...SPALI เห็น value และ asset ของ MK และ Recurring Income ใน MK ส่วน SPALI อยากจะได้สัดส่วนมากหรือน้อยผู้บริหารยังมองกลาง ๆ แต่ตลาด action feedback ต่าง ๆ นา ๆ ราคาหุ้น MK ขณะนี้สูงกว่าราคาที่จะเทนเดอร์ฯ 4.10 บาท ก็อาจจะไม่ใช่ราคาสุดท้าย โอกาสที่จะมากกว่านั้นก็เป็นไปได้"นางสาวเติมพร กล่าว
นางสาวเติมพร กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ SPALI อาจจะเพิ่มราคาเทนเดอร์ฯสำหรับหุ้น MK ที่ประกาศไว้ระดับ 4.10 บาท/หุ้น หลังราคาหุ้น MK ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าราคาเทนเดอร์ฯและมีนักลงทุนบางส่วนเข้ามาเก็บหุ้น MK เพิ่มเติม ประกอบกับราคาเทนเดอร์ฯดังกล่าวยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (Book value) ของ MK อยู่ที่ระดับ 6.66 บาท/หุ้นด้วย ซึ่งคาดว่าจะสรุปราคาเทนเดอร์ฯสุดท้ายในช่วงกลางเดือน ส.ค.
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของ SPALI ในช่วงไตรมาส 2/61 คาดว่าจะมีเติบโตดีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่จะปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลกำไรในช่วงครึ่งแรกปีนี้คาดว่าจะคิดเป็นเพียง 35% ของเป้าหมายกำไรทั้งปี แต่ช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะมีสัดส่วนราว 65% ของเป้ากำไรทั้งปีที่ 6.11 พันล้านบาท หลังคาดว่าจะมี Backlog ที่จะโอนเข้ามาราว 1 หมื่นล้านบาท
นางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ SPALI ในไตรมาส 2/61 จะมีกำไรปกติที่ 1.21 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 8% จากงวดปีก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมาจากการโอนโครงการต่อเนื่องของ Supalai Elite พญาไท และคอนโดมิเนียมใหม่ Supalai Veranda รัตนาธิเบศร์ ขณะที่กำไรลดลงจากงวดปีก่อน เป็นผลจากค่าใช้จ่ายการขายบริหารที่สูงขึ้น เกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าคอมมิชชั่นให้กับตัวแทนขายต่างประเทศในโครงการ Supali Oriental สุขุมวิท 39
อย่างไรก็ตาม ยอดขายและยอดโอนในช่วงครึ่งแรกปีนี้ยังเป็นไปตามแผน โดยยอดขายอยู่ที่ระดับ 1.77 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 54% ของเป้าหมายทั้งปี 61 ที่ตั้งไว้ 3.3 หมื่นล้านบาท และมี Backlog สิ้นไตรมาส 2/61 ที่ระดับ 4.24 หมื่นล้านบาท โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตมากขึ้น จากกำหนดการโอนโครงการเกือบ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 8.7 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะผลักดันผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง และหนุนกำไรปกติปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 6.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีที่แล้ว
ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ SPALI มีแผนเปิดอีก 25 โครงการใหม่ มูลค่า 3.23 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 1.58 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุดเปิด Supalai Loft ประชาธิปก วงเวียนใหญ่ 1.4 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 13-15 ก.ค.มียอดขายสูง 90% แล้วซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในไตรมาส 3/61
ส่วนการจะทำเทนเดอร์ฯหุ้น MK นั้น คาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.61 โดย SPALI ให้ความสนใจที่ดินของ MK ที่มีกว่า 1 พันไร่ รวมที่ดินเปล่า 300 ไร่ที่เหลืออยู่ในสนามกอล์ฟแถวปทุมธานีด้วย ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแฝงอยู่ (Hidden Value Asset) ที่มีต้นทุนต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง 4-5 เท่า ขณะที่เบื้องต้นดีลนี้จะต้องใช้เงินลงทุนอย่างน้อย 4 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่า SPALI มีความพร้อมในเรื่องแหล่งเงินลงทุนจากกระแสเงินสดหมุนเวียนภายใน ,เงินกู้ และเงินแปลงสภาพ SPALI-W4 จึงมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อแผนลงทุนเปิดโครงการใหม่ และการจ่ายเงินปันผลอย่างแน่นอน
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การที่ SPALI จะเข้าซื้อหุ้น MK มองเป็นบวกระยะยาว โดย MK มีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแฝงอยู่ คือที่ดินว่างกว่า 700 ไร่ ด้วยต้นทุนต่ำกว่าราคาตลาดถึง 3 เท่า และช่วยต่อยอด SPALI เข้าสู่ธุรกิจเช่าและบริการ (Recurring Income Business) ด้วยคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าอีกกว่า 350 ไร่ ขณะที่ราคาเสนอซื้อหุ้น MK ที่หุ้นละ 4.10 บาท ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีถึง 38% ขณะที่กระแสเงินสดภายในของ SPALI มีมากเพียงพอต่อการเสนอซื้อหุ้น MK ทั้งหมดที่กว่า 4 พันล้านบาท
กรณีเลวร้ายที่สุดหากราคาเทนเดอร์ฯหุ้น MK ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นราว 6.66-7.00 บาท/หุ้น ซึ่งใกล้กับมูลค่าตามบัญชีของ MK ที่ 6.66 บาท/หุ้น หลังเมื่อเร็ว ๆ นี้กลุ่มผู้ถือหุ้นของ MK ได้เข้าซื้อหุ้นในตลาดเพิ่มในราคาที่สูงกว่าราคาเสนอซื้อของ SPALI โดยหากปรับราคาเสนอซื้อขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนการซื้อหุ้น MK เพิ่มขึ้นเป็นราว 6.6-7 พันล้านบาท ทำให้ SPALI อาจต้องหาแหล่งเงินกู้อีกไม่เกิน 3 พันล้านบาท ก็จะทำให้หนี้สิน/ทุน (D/E) ขยับขึ้นเพียง 0.10x เป็น 0.74x บนต้นทุนเงินกู้เฉลี่ยของ SPALI ที่ 3% กระทบดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 90 ล้านบาท/ปีเท่านั้น ขณะที่ MK มีกำไรปกติต่อปี 200-400 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่ารายการนี้เป็นบวกต่อผลประกอบการของ SPALI แม้ในกรณีเลวร้ายที่สุด