นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว และคาดว่าจะไปถึงเป้าหมาย 1,760 จุดได้ในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 9.6% ส่วนผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีของจีนและสหรัฐนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้
ประกอบกับในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ราว 1,600 จุด ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจมากขึ้นมาที่ราว 3.5-6% ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยธนาคารที่อยู่ในระดับเพียง 1.25%
ขณะที่มองกรอบล่างของ SET Index ไว้ที่ P/E 13.3 เท่า หรือราว 1,500 จุด
สำหรับความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในต่างประเทศนั้น เชื่อว่าจะยังคงอยู่ต่อไปจนถึงการเลือกตั้งกลางสมัยของสหรัฐฯที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. โดยยังคงต้องติดตามว่าการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯนั้นจะออกมาจริงมากน้อยเพียงใด และจะกระทบต่อสินค้าชนิดใดบ้าง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะยังไม่เห็นผลกระทบภายในปีนี้ แต่จะเห็นผลที่เกิดขึ้นจริงในปี 62 เป็นต้นไป ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงในมูลค่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น จะมีผลกระทบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนเพียง 0.1-0.2% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับ 6.6-6.8% ต่อปี
ทั้งนี้ แนะนำหุ้นที่มีความสนใจในการลงทุนคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ คือกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มการเงิน และสุดท้ายคือกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบจากการยกเลิกของทัวร์จีนจากเหตุการณ์เรือล่มใน จังหวัดภูเก็ต แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น
นายชัยพร กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งการตลาดของธุรกรรม Block Trade ไม่ต่ำกว่า 12% ใกล้เคียงกับปัจจุบัน โดยคาดว่ามูลค่าของธุรกรรม Block Trade มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอีกมาก เนื่องจากในต่างประเทศมีสัดส่วนมากถึง 30% เมื่อเทียบกับประเทศไทยยังมีสัดส่วนเพียง 5% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน และในช่วงเดือน ม.ค. มีมูลค่าธุรกรรม Block Trade เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นถึง 60,000 ล้านบาท
จุดเด่นของบริษัท คือมีอัตราค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าอุตสาหกรรม โดยอยู่ที่ 0.10 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย จากอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.11 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย ส่วนดอกเบี้ยบัญชีมาร์จิ้นของบริษัทอยู่ที่ 5.06% ต่อปี เทียบกับดอกเบี้ยของอุตสาหกรรม 6-7% นอกจากนี้เงินปันผลบริษัทให้กับนักลงทุน 100% เมื่อเทียบกับรายอื่นให้เพียง 70-80% รวมถึงบริษัทยังมีฐานทุนจดทะเบียนที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่นด้วย
ส่วนประเด็นการใช้โปรแกรมอัตโนมัตินั้น เชื่อว่าไม่กระทบต่อภาวะตลาดรุนแรง เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯมีการตรวจสอบโปรแกรมอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะให้บริการกับลูกค้า แต่ยังมีประเด็นที่ต้องกังวลคือการซื้อขายโดยตรงผ่านระบบการเชื่อมต่อจากต่างประเทศ (Direct Market Access : DMA) จากบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ยังไม่มีการเข้าไปตรวจสอบในขณะนี้