บล.เออีซี (AEC) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (24-26 ก.ค.) มีโอกาสปรับขึ้นต่อได้หลังได้รับ Sentiment เชิงบวกจากหลังผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีเกินคาด อีกทั้งราคาน้ำมันดิบยังมีแนวโน้มปรับขึ้นหลังซาอุดิอาราเบียจะปรับลดการส่งออกน้ำมันดิบในเดือน ส.ค.
แต่อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นแรงของดัชนียังมีความเป็นไปได้น้อย หลังนักลงทุนยังจับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังล่าสุดประธานาธิบดีสหรัฐขู่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงินสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์
"ปัจจัยกดดันต่างประเทศยังอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนได้ แม้จะมีแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาส 2/61 ที่ออกมาแข็งแกร่ง แต่คาดจะถูกกดดันด้วยแนวโน้มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้าหลักที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้"
รวมทั้งความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับผลจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาวิจารณ์การทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และมองว่าแผนขึ้นดอกเบี้ยของเฟดนั้นเร่งรีบเกินไป ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตของสหรัฐฯ อีกทั้งยังกล่าวโจมตีจีน สหภาพยุโรป (EU) และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ว่าจงใจกดอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้ Dollar Index กลับมาอ่อนค่าลงในช่วงปลายสัปดาห์
ขณะที่ในช่วงสั้นแนะนำให้นักลงทุนติดตามการพูดคุยระหว่างประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (Europe Commission) และนายโดนัลด์ ทรัมป์ในวันที่ 25 ก.ค.นี้ ซึ่งคาดจะมีการพูดคุยหลักถึงมาตรการ Safe Guard ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของสหรัฐฯ แม้ล่าสุดประเด็นดังกล่าวจะผ่อนคลายลงหลังนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ยืนยันที่จะยอมลดภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐฯ ลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
แต่หากการพูดคุยดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนหรือมีบรรยากาศที่แย่ลง คาดตลาดจะกลับมากังวลต่อประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งจากรายงานของ EU ประเมินผลกระทบดังกล่าวอาจนำมาซึ่งการจัดเก็บภาษีในสินค้ามูลค่ากว่า 2.9 แสนล้านดอลลาร์ และกระทบต่อภาค Real Sector ทั้งในสหรัฐฯ และ EU
โดยแนะนำกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "Selective Buy" ในหุ้นDomestic ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ดังนี้ 1. หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่คาดกำไรโตหรือราคาหุ้นยัง Laggard โดยมี PBV ต่ำ เช่น KBANK, BBL, SCB 2.หุ้นกลุ่มบริการ ค้าปลีก, รพ., ท่องเที่ยว ที่คาดกำไรยังโตสดใสในช่วง 2Q/61 เช่น BJC, HMPRO, MC, BDMS, BCH, RJH, AOT, MINT, SPA และ 3.หุ้นที่จ่าย Div. Yield สูงเกินปีละ 5% เช่น KKP, TTW, MC, SMPC
ส่วนในทางเทคนิคแนะนำ นักเก็งกำไร กรณีมีหุ้น"ถือต่อ"กรณีไม่มีหุ้น ซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวบริเวณแนวรับ 1,645 จุด และแบ่งขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน 1,680/1,695 จุด ทั้งนี้ตั้ง Stop Loss เมื่อดัชนีวกกลับปิดต่ำกว่าแนวรับ สำหรับนักลงทุนระยะกลาง ซื้อเพื่อเล่นรอบ โดยทยอยเมื่อดัชนีอ่อนตัว มองกรอบแนวรับ 1,640-1,650 จุด เพื่อคาดหวังแนวต้าน 1,695-1,710 จุด ทั้งนี้ ตั้ง Stop Loss หากหลุด 1,630 จุด
กลุ่มที่คาด Outperform สัปดาห์นี้ เลือกกลุ่ม ธนาคาร (BANK) โดยมี Top Pick ได้แก่ BBL คาดหวังรีบาวด์แนวต้าน 203 บาท แนวรับ 196 บาท , KBANK คาดหวังรีบาวด์แนวต้าน 220 บาท แนวรับ 205 บาท