บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ระดับ "AA" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "AA" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้และเงินกู้ยืม รวมถึงใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทย ตลอดจนผลงานในการบริหารศูนย์การค้าคุณภาพสูง กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความต้องการเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อใช้รองรับแผนการขยายธุรกิจของบริษัทในช่วงปี 2561-2565 ด้วย
CPN เป็นผู้พัฒนาศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโดยมีตระกูลจิราธิวัฒน์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 27% รองลงมาคือ บริษัท เซ็นทรัล โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วน 26% การเป็นสมาชิกในเครือเซ็นทรัลทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีร้านค้าหลักในเครือจำนวนมากภายในศูนย์การค้าของบริษัทซึ่งดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี ณ เดือน มี.ค.61 บริษัทบริหารศูนย์การค้าจำนวน 32 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และในจังหวัดสำคัญ โดยมีพื้นที่ค้าปลีกรวม 1.7 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทคงความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารศูนย์การค้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ค้าปลีกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมดแล้ว บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึงประมาณ 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากการมีอัตราการเช่าพื้นที่ในระดับสูงและรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าเดิมที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการเช่าศูนย์การค้าโดยเฉลี่ยที่ 92%-94% ในช่วงปี 2558 ถึงไตรมาสแรกของปี 2561 ทั้งนี้ อัตราการเช่าศูนย์การค้าโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 92%-93% ในช่วงปี 2560 ถึงไตรมาสแรกของปี 2561 ตามรายงานของซีบี ริชาร์ด เอลลิส
รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 26,057 ล้านบาทในปี 2560 และเติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 6,776 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการสร้างรายได้ค่าเช่าและค่าบริการในศูนย์การค้าเดิมที่มากขึ้น รวมถึงการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ คือ เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา และเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย ในปลายปี 2560 ทั้งนี้ รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของศูนย์การค้าเดิมเติบโต 3.5% ในปี 2560 และ 3% ในไตรมาสแรกของปี 2561 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทในช่วงปี 2561-2563 จะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี
อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 55%-57% ในปี 2559-2560 และ 64% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 จาก 51%-54% ในช่วงปี 2556-2558 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นได้รับแรงหนุนมาจากความสามารถในการปรับขึ้นอัตราค่าเช่า รวมถึงการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้น แม้ว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับสูงกว่า 50% เอาไว้ได้ในช่วงปี 2561-2563
ภายหลังจากการแปลงสภาพกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPN Retail Growth Leasehold Property Fund : CPNRF) เป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPN Retail Growth Leasehold Real Estate Investment Trust : CPNREIT) ในช่วงเวลาเดียวกันกับการนำทรัพย์สินใหม่ให้เช่าช่วงแก่กองทรัสต์ ทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงเหลือ 27% ณ เดือนธันวาคม 2560 และ 30% ณ เดือนมีนาคม 2561 จาก 38% ณ เดือน ธันวาคม 2559
อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายดีขึ้นเป็น 1 เท่าในช่วงปี 2560 ถึง 3 เดือนแรกของปี 2561 จาก 1.7 เท่าในปี 2559 แม้ว่าบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนจำนวน 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2565 ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 40% และอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 2 เท่าเอาไว้ได้
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทมีเพียงพอ โดย ณ เดือนมีนาคม 2561 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 7,157 ล้านบาท และวงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 10,159 ล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท แหล่งเงินทุนดังกล่าวเพียงพอสำหรับการลงทุนและการจ่ายชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 14 ล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 1,900 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 334 ล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ ทั้งนี้ รายได้รวมของบริษัทในช่วงปี 2561-2563 จะอยู่ที่ประมาณ 35,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาวินัยทางการเงินโดยดำรงอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสูงกว่า 50% และอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 เท่าเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ การมีอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 3-4 เท่าเป็นเวลานานก็อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลงได้ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากการขยายธุรกิจทำให้สถานะทางธุรกิจและสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น