นายอภิชาติ เฮงวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาโครงการต่างจังหวัด และโครงการพิเศษ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดภายในปี 63 จะมีโครงการในต่างจังหวัดรวมทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5-2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในต่างจังหวัดในปี 62 จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท และเปิดอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 6-7 พันล้านบาทในปี 63 หลังจากได้เริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดครั้งแรกในปี 60 คือ โครงการ โกลเด้นทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัญ จ.ชลบุรี มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 711 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขายไปแล้ว 70% โดยมีการโอนในปีที่แล้ว 150 ล้านบาท
ส่วนในปี 61 บริษัทได้พัฒนาโครงการแนวราบใน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยได้เปิดโครงการแรก คือ โครงการโกลเด้น ทาวน์ อยุธยา มูลค่า 1.1 พันล้านบาท เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น บนพื้นที่กว่า 42 ไร่ จำนวน 455 ยูนิต แบ่งเป็นออก 3 เฟส จะเปิดขายเฟสแรกจำนวน 100 ยูนิต ราคาขาย 2-3 ล้านบาท/ยูนิต ในวันที่ 4-5 ส.ค.นี้ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 400 ล้านบาท หรือสามารถปิดการขายได้ทันทีในช่วงวันที่เปิดขาย โครงการดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาพัฒนาราว 3 ปี และในเฟสแรกจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าได้ภายในปลายเดือน ส.ค.หรือต้นเดือน ก.ย.นี้
บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดในปีนี้ที่ 480 ล้านบาท แบ่งเป็น การรับรู้รายได้จากการโอนโครงการโกลเด้น ทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัญ 240 ล้านบาท และโครงการโกลเด้น ทาวน์ อยุธยา 240 ล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้ารายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดในปี 62 และ 63 อยู่ที่ 1.04 พันล้านบาท และ 2.1 พันล้านบาทตามลำดับ โดยรายได้ในปี 63 จากโครงการในต่างจังหวัดที่ 2.1 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 10% ของรายได้รวมในปี 63 ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท
แผนการขยายโครงการในต่างจังหวัดจะคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 อย่าง ได้แก่ ความต้องการของตลาด ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และแหล่งงาน, ความสามารถในการซื้อ จากรายได้ครัวเรือน ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) และทิศทางราคาที่อยู่อาศัย และปัจจัยอื่น ๆ เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน และการเข้ามาพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น BIGC เป็นต้น
ส่วนจังหวัดที่บริษัทให้ความสนใจในการรุกเข้าไปพัฒนาโครงการในช่วงปี 62-63 เช่น ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง และมีกำลังซื้อที่สูง โดยที่บริษัทวางงบซื้อที่ดินสำหรับโครงการในต่างจังหวัดต่อปีไว้ที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งในปี 62 ที่จะเปิดโครงการในต่างจังหวัดใหม่ 3 โครงการนั้น บริษัทได้ซื้อที่ดินไว้ทั้งหมดแล้ว โดยจะมีจังหวัดใหม่ที่บริษัทจะรุกเข้าไป คือ เชียงราย ซึ่งเป็นการพัฒนาตามไปกับการขยายสาขาของ BIGC ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกับ GOLD นอกจากนี้บริษัทอาจจะมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดในอนาคต ตามทำเลที่บริษัทได้และมีศักยภาพสูง แต่ในระยะสั้นจะเป็นการพัฒนาโครงการแนวราบไปก่อน เพราะโครงการคอนโดมิเนียมในบางจังหวัดยังมีซัพพลายที่เหลือมากอยู่
ขณะเดียวกันในระยะยาวบริษัทยังพิจารณาการลงทุนโครงการในต่างประเทศด้วย ซึ่งจะเป็นการพัฒนาไปร่วมกับการขยายการลงทุนของกลุ่ม Fraser ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัททั้งในและต่างประเทศ อย่างเช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรมร่วมกับบมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) หรือการพัฒนาที่อยู่อาศัยในนิมคมอุตสาหกรรมต่างประเทศของกลุ่ม Fraser เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาตามความเหมาะสม
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า บริษัทมองภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดเริ่มเห็นการขยายโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามารุกมากขึ้น จากการลงทุนโครงการต่างๆของภาครัฐ ที่ทำให้การขยายตัวของที่อยู่อาศัยกระจายไปตามทำเลต่างๆ ที่มีแผนการลงทุน และราคาที่ดินไนต่างจังหวัดเริ่มขยับเพิ่มขึ้นสูง ทำให้ผู้ประกอบการต่างๆ เริ่มเข้ามามองหาซื้อที่ดินมาพัฒนาไนอนาคต แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องกำลังซื้อที่อาจจะยังไม่สูงเท่ากับกำลังซื้อในกรุงเทพฯ
อีกทั้ง ภาระหนี้สินของคนที่อาศัยในต่างจังหวัดยังสูง เห็นได้จากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการในต่างจังหวัดที่เฉลี่ยสูงถึง 40-50% เมื่อเทียบกับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซี้อโครงการในกรุงเทพฯที่เฉลี่ย 30% แต่บริษัทได้ป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวโดยการที่ร่วมกับพันธมิตรสถาบันการเงิน 5-6 ราย ในการพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้า พร้อมกับการให้ลูกค้าสามารถผ่อนดาวน์ได้เป็นระยะเวลา 6 เดือนก่อนการโอน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการกู้สินเชื่อของลูกค้าและลดความเสี่ยงในการโอนโครงการ
นอกจากนี้การหาซื้อที่ดินยังเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นที่เข้ามาในต่างจังหวัด เพราะมีต้นทุนที่ดินที่สูงกว่าผู้ประกอบการท้องถิ่น ทำให้ต้องมีการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างรอบคอบ