MILL-W5 ปิดเทรดวันแรกที่ 0.26 บาท มูลค่าซื้อขาย 28.53 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 0.25 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 0.28 บาท และราคาลงต่ำสุด 0.20 บาท
ขณะที่หุ้น MILL ปิดที่ 1.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท (+2.70%) มูลค่าซื้อขาย 11.50 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 1.47 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 1.52 บาท และราคาลงต่ำสุด 1.46 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) ครั้งที่ 5 ใช้ชื่อย่อว่า MILL-W5 ที่ 0.18 บาท (BSM) อิงราคาหุ้นแม่ที่ 1.48 บาท และความผันผวนของหุ้นที่ 33% คิดเป็น All-in Premium ที่ +34% ด้านผู้ได้รับ MILL-W5 มีต้นทุนจากการขึ้นเครื่องหมาย XW 0.50 บาท (ผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XW หุ้นละ 0.10 บาท)
เมื่อเทียบจากในกระดานแล้ว MILL ยังมี MILL-W3 และ MILL-W4 ซึ่งมีสถานะที่ Out of The Money และมี All-in Premium ที่ 92% และ 62% ตามลำดับ ทำให้ MILL-W5 จะมีความน่าสนใจสุดในกลุ่ม และปัจจุบัน MILL ได้ประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 625 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เรามองประเด็นการสร้างราคาของ MILL ของผู้บริหารทำให้ MILL ขาดความน่าสนใจในด้านของธรรมาภิบาล
พร้อมให้กรอบมูลค่า MILL-W5 ไว้ที 0.16-0.20 บาท เมื่อราคาหุ้น MILL เคลื่อนไหวในกรอบ 1.43-1.53 บาท โดยมี Volatility 33% per year
บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) คือหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแบบครบวงจร มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายผ่านการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานทั้งในประเทศและนานาชาติ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินงานเพื่อสร้างคุณค่าแก่กลุ่มธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (Construction Material) 2. มุ่งเน้นการผลิตเหล็กเกรดพิเศษ (Special Steel) 3. การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง (Supporting Core Business)
MILL-W5 จำนวนที่ออก 905 ล้านหน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิม : 1 หลักทรัพย์แปลงสภาพ อัตราใช้สิทธิ 1 : 1 @ 1.80 บาท, อายุ 2 ปี โดยสามารถใช้สิทธิได้ทุกวันทำการสุดท้ายของทุกไตรมาส (โดยใช้สิทธิได้ครั้งแรกในวันที่ 28 ก.ย. 2561 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายในวันหมดอายุวันที่ 29 พ.ค. 2563)