นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินถึงภาพการลงทุนเดือน ส.ค.61 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) จะเริ่มชะลอการปรับตัวขึ้น โดยมองกรอบแนวต้านแรกไว้ที่ 1,720 จุด และกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1,750 จุด ส่วนแนวรับสำคัญที่ 1,650 จุด
ทั้งนี้ ภาพรวมในเดือน ก.ค.ตลาดหุ้นไทยปรับตัวรีบาวด์ขึ้นตามคาด หลังผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ออกมาดีกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ Outperform ตลาดและผลักดันภาพรวมตลาดในรอบ นอกจากนั้น ยังได้แรงหนุนจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันจากการเพิ่มน้ำหนักของ Active fund manager ภายหลังจาก Valuation ของหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจและการไหลเข้าของเม็ดเงิน LTF/RMF รวมทั้งการเปิดขายกองทุน Trigger Fund
แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับประมาณการอัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการปรับตัวขึ้นมาของดัชนีครั้งนี้จึงมาพร้อมกับ Valuation สูงขึ้น ซึ่งประเมินว่าระดับดัชนีที่จะเริ่มเปราะบางในแง่ของ Valuation จะอยู่ที่บริเวณ 1,700 จุดขึ้นไป หรือเทียบเท่า Forward PE 14.1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่มีเสถียรภาพมากที่สุดของ SET Index ในอดีต
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในเดือน ส.ค.นี้ ด้านปัจจัยบวก ได้แก่ ผลประกอบการไตรมาส 2/61 ของกลุ่มธนาคารฯที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จึงทำให้ Sentiment ระยะสั้นของหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวดีขึ้น และยังแนะนำให้ติดตามผลประกอบการของกลุ่มอื่นๆ ที่กำลังจะทยอยออกในช่วงถัดไป คาดว่าจะส่งผลต่อทิศทางของ SET Index ในระยะสั้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากกระแส Fund flow หรือเงินทุนไหลเข้าที่เริ่มมีทิศทางดีขึ้น หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติ Long หรือซื้อสุทธิในตลาดล่วงหน้าติดต่อกันถึง 40,000 กว่าสัญญา และเริ่มซื้อสุทธิในตลาดหุ้นให้เห็นบ้างแล้ว
ส่วนปัจจัยลบที่ยังคงต้องติดตาม คือ 1.ประเด็นสงครามการค้าที่ยังคงมีความวุ่นวายต่อเนื่อง คาดว่าจะยังคงเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป 2.การปรับตัวขึ้นของ Bond yield ไทยจนทำระดับสูงสุดใหม่ของปีนี้ ซึ่งหากยังคงปรับขึ้นต่ออีก อาจทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง
3.ความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในยุโรป เนื่องจากอิตาลีจะถึงคิวกำหนดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนนี้ ซึ่งกรณีนี้แนะนำให้จับตาท่าทีของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หากมีการออกมาลดอันดับ Credit rating ของอิตาลีลง มองว่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ 4.การเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Shares ของจีนในดัชนี MSCI EM ช่วงปลายเดือนนี้อีก 2.5% ของ Market cap ที่อาจทำให้ Passive funds ที่อิงการลงทุนกับดัชนี MSCI EM มีการโยกย้ายเงินออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) อื่น ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือน ส.ค.นายณัฐชาต แนะนำนักลงทุนที่สะสมหุ้นไปตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ให้ถือหุ้น Let profit run ต่อไปได้ แต่เนื่องด้วย Valuation ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามมาด้วยนั้น ทำให้มองว่าจะต้องกำหนดจุดขายทำกำไรที่ชัดเจน โดยหากดัชนีปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับแนวต้านแรกที่ 1,720 จุด แนะนำให้ขายทำกำไรออกมาส่วนหนึ่งและหากดัชนีปรับตัวขึ้นต่อไปยังบริเวณ 1,750 จุด มองว่าจำเป็นที่จะต้องขายหุ้นออกมาและถือเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าลงทุนใหม่ในเวลานี้ จำเป็นที่จะต้องโฟกัสไปยังหุ้นขนาดใหญ่ (SET50) ที่ยังปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าตลาดในรอบนี้และเป็นหุ้นที่ บล.ทรีนีตี้ ยังคงคำแนะนำให้ "ซื้อ"ในเชิงพื้นฐาน (เรียงตามลำดับความ Laggard) ได้แก่ TISCO (ให้ราคาเป้าหมาย102บาท), PTTEP (เป้าหมาย144บาท), TMB (เป้าหมาย2.60บาท), CPALL (เป้าหมาย 101บาท), TOP (เป้าหมาย101บาท), BBL (เป้าหมาย220บาท) และ TU (เป้าหมาย 18 บาท)