นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปี 61 จะเติบโตได้ราว 10% จากระดับ 3.46 พันล้านบาทในปีก่อน ตามเป้าหมายการเน้นเติบโตของกำไรสุทธิเป็นหลัก โดยที่บริษัทหันมามุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การบริหารจัดการต้นทุนการขายและบริหาร (SG&A) ทำให้ปัจจุบันอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.19% จากปี 59 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.04% หลังนำแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการนำข้อมูลมาตัดสินใจลงทุนโครงการ และการใช้สื่อออนไลน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้น อีกทั้งยังควบคุมต้นทุนการก่อสร้างให้เหมาะสม ส่งผลให้มีมาร์จิ้นที่สูง
ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยให้ลดลง ด้วยการทยอยชำระหนี้ให้มีหนี้เหลือน้อยลง ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงเหลือ 1.3 เท่า ในปัจจุบัน จากสิ้นปีก่อนที่ 1.8-1.9 เท่า
"ตอนนี้ QH หันมาเน้น bottom line เป็นหลัก มากกว่ายอดขาย เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญมาก เพราะหากยอดขายเยอะแต่ทำกำไรไม่ได้ ก็แสดงว่าการดำเนินธุรกิจไม่มีประสิทธิภาพ"นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติ กล่าวว่า สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งหลังปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 7-8 โครงการ โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และมีโครงการในต่างจังหวัดที่จะเปิดในเชียงใหม่ 1 โครงการ ขณะที่จะเลื่อนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงหลังของปีนี้ออกไป 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในลาดพร้าว เนื่องจากการขออนุญาตรายงานวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ยังไม่แล้วเสร็จ โดยคาดว่าจะเลื่อนไปเปิดในปี 62 และเลื่อนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ย่านเจริญนคร ที่วางแผนจะเปิดในช่วงไตรมาส 4/61 เพราะอยู่ระหว่างการทบทวนและชะลอแผนการพัฒนาโครงการดังกล่าวไปก่อน เนื่องจากมีปัญหาในการขอ EIA เพราะที่ดินข้างโครงการเป็นตึกสูงเช่นเดียวกัน
สำหรับปีนี้บริษัทจะเหลือโครงการใหม่ที่เปิดรวมทั้งสิ้น 12-13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1 หมื่นล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิด 15 โครงการ มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม Q นานา จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 4/61 หลังจากที่เปิดขายให้กับลูกค้าบางส่วนไปแล้วตั้งแต่ปี 58 โดยที่มียอดขายเพียง 28% ถึงปัจจุบัน ทำให้บริษัทจะกลับมาเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม Q นานา อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งเป็นช่วงที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยราคาขายยังอยู่ที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร
และบริษัทยังมั่นใจยอดขายทั้งปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายเติบโต 10% หรืออยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านบาท ส่วนในช่วงไตรมาส 4/61 บริษัทจะเปิดให้บริการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ พัทยา ที่จะเข้ามาเป็นรายได้ประจำให้กับบริษัทเพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดแนวราบ ที่ยังมีความต้องการซื้อในตลาดที่มากอยู่ ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังเผชิญปัญหาสินค้าล้นตลาดไนบางทำเล เช่น ทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่ยังต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซับไปอีก 2 ปี และปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการรายอื่นเข้าไปทำตลาดในทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง และอีกทำเลที่เริ่มมีปริมาณคอนโดมิเนียมมากขึ้น คือ ทำเลย่านสุขุมวิท ซึ่งมีการเปิดคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก และราคาขายโครงการปรับเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก ซึ่งเกินกว่ารายได้ของคนที่จะสามารถซื้อได้ ทำให้เริ่มเห็นการซื้อคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทเริ่มลดลง และมีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมราคาสูงน้อยกว่าซัพพลายที่ออกมา ทำให้อาจจะเกิดภาวะสินค้าล้นตลาดในทำเลสุขุมวิทได้ โดยมองว่าราคาคอนโดมิเนียมที่ยังมีความต้องการซื้อที่มากอยู่จะต้องไม่เกิน 5 ล้านบาท
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดบางทำเลยังเห็นการชะลอการลงทุนอยู่ แต่ในบางจังหวัดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ตลาดยังไปได้ต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าชาวไทยและชาวจีน ส่วนทำเลในจังหวัดโซนระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มองว่าการมีรถไฟความเร็วสูงจะทำให้กลุ่มผู้รายได้สูงที่ทำงานในทำเลนั้น ๆ เลือกที่จะอยู่อาศัยในเมืองมากกว่า เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงเรียน ศูนย์การค้า และโรงพยาบาลที่ดี ซึ่งจะทำให้กลุ่มลูกค้าใน EEC จะเป็นกลุ่มพนักงานที่เลือกซื้อโครงการที่กระจายออกไปตามรอบนอกเมือง