นายแพทย์ การุณ เมฆานนท์ชัย ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ บมจ.รพ.บำรุงราษฎร์ (BH) กล่าวว่าในปีหน้าโรงพยาบาลได้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ที่ 10% จากปีนี้ที่รายได้อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 51 ตั้งงบลงทุน 800-1 พันล้านบาท เพิ่มระบบสารสนเทศและซื้อเครื่องสแกนมะเร็งเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับผู้มาใช้บริการที่เป็นชาวต่างชาติได้มากขึ้น หลังจากที่โรงพยาบาลจะมีการติดตั้งระบบที่มีความทันสมัยไม่ว่าจะเป็นการสั่งยาโดยคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ในการทำประวัติผู้ป่วยที่ได้มาตรฐานโลกและเครื่องสแกนตรวจหามะเร็ง
ประกอบกับในปีหน้าโรงพยาบาลจะมีการเปิดตึกใหม่"บำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลคลินิค" ในเดือนเม.ย.จะเป็นตึกรองรับผู้ป่วยได้มากขึ้นและจะมีจำนวนห้องตรวจเพิ่มขึ้นเป็น 300 ห้องจากปัจจุบันที่ 140 ห้อง
"การเติบโตในปีหน้าจะเป็นการตั้งไว้แบบ conservative เนื่องจากมองว่าปัญหาในเรื่องของราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนยังกดดันอัตราการเข้ามาใช้บริการของคนไข้ ถึงแม้สถานการณ์ทางการเมืองจะมีทิศทางที่ดีขึ้น" น.พ.การุณ กล่าว
น.พ.การุณกล่าวต่อว่า ขณะนี้ BH มีแผนที่จะให้ Bumrungrad International Limited (BIL) ซึ่ง BH ถืออยู่ 30% เข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียและจีน ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเป็นการเข้าไปลงทุนเองหรือเป็นการร่วมกับพันธมิตรในประเทศนั้นซึ่งการที่ให้ BIL เข้าไปลงทุนในต่างประเทศจะเป็นการกระจายการลงทุนและยังเป็นการลดความเสี่ยง แต่อย่างไรก็ตาม BH คงจะไม่เพิ่มสัดส่วนในการถือหุ้นใน BIL
"การที่ปีหน้าเรามีการลงทุนไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศก็ไม่กังวลในเรื่องของเม็ดเงิน เนื่องจากเรามีเม็ดเงินที่เพียงพอ ส่วนแนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลในปีหน้าตอนนี้โรงพยาบาลในประเทศสิงคโปร์และอินเดียเริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ หลังจากที่ลดราคาเพื่อดึงดูดคนไข้ไปประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นการที่ BH เพิ่มห้องปฎิบัติการทางการแพทย์อัตโนมัติก็เชื่อว่าจะดึงดูดคนให้เข้ามาใช้บริการได้" น.พ.การุณ กล่าว
ขณะที่ในปีนี้ ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งจากราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทและเศรษฐกิจส่งผลให้อัตราการเติบโตของคนไข้ลดลงมาอยู่ที่ 8-10% จากที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโต 12-15%
ปัจจุบันอัตราการเข้ามาใช้บริการอยู่ที่ 3,000 คน/วัน
"ในปีนี้โรงพยาบาลเห็นสัญญาณการชะลอตัวของผู้ที่มาใช้บริการลดลงในไตรมาส 2 และ 3 จากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลคนไม่กล้าใช้จ่าย ขณะที่ปัญหาค่าเงินบาทก็กดดัน แต่เชื่อว่าในไตรมาส 4 อัตราจากเข้ามาใช้บริการจะมากขึ้นซึ่งเป็นปกติที่ไตรมาส 4 จะมีผู้ป่วยมากที่สุด"น.พ.การุณ กล่าว
ในปัจจุบันสัดส่วนของผู้ที่มาใช้บริการจะเป็นไทย 50% ต่างชาติ 50% และปีหน้าก็จะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ไม่หนีกัน
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/จำเนียร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--