นายศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) (NPPG) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้ผลประกอบการจะกลับมามีกำไรได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นไปการเติบโตของรายได้ที่บริษัทเตรียมพิจารณาปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ในปีนี้ขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้ 1,300-1,400 ล้านบาท หลังจากบริษัทขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในไทยแบบเชิงรุกมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการให้บริการที่หลากหลาย ภายใต้แนวคิด"Next NPPG Transformation"
บริษัทตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3-4 ปีจะมีสาขาร้านอาหารและเครื่องดื่มไม่ต่ำกว่า 2,000 แห่ง ภายใต้แบรนด์อาหาร 8-10 แบรนด์ โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอีก 1-2 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ จากปัจจุบันบริษัทได้มีแบรนด์อาหารอยู่ในมือแล้ว 5 แบรนด์ คือ A&W ,Miyabi Grill ,Mr. Jones ,แหลมเจริญซีฟู้ด
และ ล่าสุดทาง NPPG ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยในการให้บริการของแบรนด์ Dean & DeLuca ผู้ให้บริการด้านอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม เป็นเวลา 10 ปี โดยมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นภายในปี 62 ราว 10 สาขา ด้วยงบลงทุนราว 5-8 ล้านบาทต่อสาขา จากนั้นจะทยอยเปิดสาขาเพิ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ครบ 100 สาขาภายใน 5 ปี คาดว่าจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทตรียมเข้าบริหารและรับรู้รายได้ทันทีในสาขาเดิมทั้งหมด 12 สาขา ซึ่งทำรายได้ในปี 60 ราว 500 ล้านบาท
Dean & DeLuca มีการให้บริการผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากทั่วโลก ปัจจุบันมีสาขาอยู่ทั่วโลกทั้งใน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประเทศไทย ดูไบ คูเวต ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์ โดยการขยายสาขาในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเน้นไปในประเทศจีนเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าเป็นประเทศที่มีประชากรสูงถึง 1,400 ล้านคน และธุรกิจอาหารอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-30% ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้ปานกลางที่มีกำลังซื้อ และสามารถทานอาหารที่มีราคาสูงได้
"ในปัจจุบันเราได้มามุ่งเน้นการขยายกิจการด้านอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น โดยเราเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ต่างๆหลายแบรนด์แล้ว และเรายังเตรียมที่จะเจรจาอีกหลากหลายแบรนด์ชั้นนำเข้ามา ซึ่งเราเชื่อว่าเราจะสามารถขยายสาขาเพิ่มเสริมการเติบโตของบริษัทฯได้ ซึ่งในอนาคตสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปัจจุบันที่มีอยู่น้อยมาก"นายศุภจักร กล่าว
บริษัทตั้งเป้าจะขยายอาณาจักรธุรกิจอาหารแบบครบวงจร ในประเทศจีน โดยล่าสุด NPPG ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ " Kinghill Food " เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน โดยทาง NPPG เป็นผู้จัดหาแบรนด์ร้านอาหารไทย อาหารทะเล และอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระดับชั้นนำไปเปิดให้บริการในประเทศจีน
สำหรับการบุกตลาดธุรกิจอาหาร ในประเทศจีนครั้งนี้ ของ NPPG ถือว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรดังกล่าว เป็นบริษัทผู้นำด้านธุรกิจอาหารในประเทศจีน ประกอบกับยังเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ในการจัดส่งอาหารไปยังร้านอาหารต่างประเทศในประเทศจีนเกือบทั้งหมด และยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อาทิ China Cuisine Association และ China Hospitality Association ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของจีน ดังนั้นจึงมองว่าการขยายตลาดในครั้งนี้ จึงเป็นผลบวกกับ NPPG โดยเฉพาะความแข็งแกร่งของรายได้และภาพรวมทางธุรกิจ
จากแผนขยายธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้ล่าสุดแบรนด์อาหารชั้นนำ สนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ NPPG ในครั้งนี้คือ แหลมเจริญซีฟู้ด ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร ทั้งรสชาติ คุณภาพ และการบริการ ได้สร้างความประทับใจให้ทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติมาแล้ว และนอกจากนี้ยังมีแบรนด์ร้านอาหารดังๆ ระดับชั้นนำอีกหลายที่สนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
ในเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนจะสามารถเปิดให้บริการ แห่งแรกที่ เซี่ยงไฮ้ ภายในไตรมาส 4/61 และคาดว่าจะทยอยเปิดสาขาเพิ่มที่ปักกิ่ง เฉิงตู ฉงชิ่ง เซินเจิ้น ตามลำดับ
บริษัทยังเชื่อมั่นว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าธุรกิจอาหารของ NPPG จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มีรายได้ 600-700 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยาย Franchise model ไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ โดยในแต่ละแบรนด์ มีแผนที่จะเปิดสาขาไม่น้อยกว่า 50 สาขาต่อแบรนด์ รวมถึงการเปิดสาขาของ MIYABI ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารของ NPPG เอง ดังนั้นการร่วมมือกับ Kinghill Overseas Holding Limited ครั้งนี้จะยิ่งตอกย้ำการเปิดร้านอาหารที่จะทยอยเปิดได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
นายศุภจักร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาบริษัททั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ราว 1-2 รายเพื่อให้เข้ามาถือหุ้นธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคาดสรุปในปีนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจให้มีการเติบโตที่ดีในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยืนยันว่าจะถือหุ้นในธุรกิจดังกล่าวต่อไป เนื่องจากยังสามารถสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอาหารที่บริษัทมุ่งขยายกิจการอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน