สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ. เจ มาร์ท ได้นับ 1 Filing เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 เนื่องจากบริษัทฯต้องการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป(IPO)จำนวน 75 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วหลังเพิ่มทุน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินไปชำระหนี้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีบล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บมจ. เจ มาร์ท ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริหารพื้นที่ และเร่งรัดติดตามหนี้สินรวมถึงการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยบริษัทฯประกอบธุรกิจจำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่งเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักทุกรายและผู้ให้บริการเครือข่ายทุกระบบ โดยมีสาขามากกว่า 194 สาขา
ปัจจุบันมีบริษัทย่อย 1 แห่ง คือ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (เจเอ็มที) เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจให้บริการเร่งรัดติดตามหนี้สิน ฟ้องสืบทรัพย์ บังคับคดี ทั่วประเทศไทย และดำเนินการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินและบริษัทผู้ให้บริการอื่น ๆ เพื่อนำมาดำเนินการติดตามหนี้และหาประโยชน์เอง
ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 1,490 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้น 387 ล้านบาท และมีผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2550 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 52.30 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท มีมูลค่าตามบัญชี 1.72 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300 ล้านหุ้น และมีทุนชำระแล้ว 225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 225 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังขาย IPO ครั้งนี้บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 300 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ เจ มาร์ท ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 คือ กลุ่มนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา และนางสาวยุวดี พงษ์อัชฌา ถือหุ้น 211.32 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 93.92% ของหุ้นทั้งหมด ภายหลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 70.44%
บริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทและบริษัทย่อยในอัตราไม่น้อยกว่าประมาณร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--