นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (6-10 ส.ค.) ยังดี แต่อาจมีการพักตัวหลังขึ้นมามาก อาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามาในช่วงต้นสัปดาห์ แต่ปัจจัยในประเทศ ทั้งจากการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯและกำไรไตรมาส 2/61 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะรายงานเป็นจำนวนมากในสัปดาห์นี้ น่าจะเป็นตัวพยุงดัชนีฯให้ยืนเหนือระดับ 1,700 จุด โดยคาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,700-1,740 จุด
สำหรับปัจจัยลบจากสัปดาห์ก่อนที่เข้ามากดดันตลาด คือ เรื่องที่สหรัฐฯจะเก็บภาษีเพิ่มจากจีนและเรื่องทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการซื้อหุ้น ในหลายตลาดรวมถึงของไทย ซึ่งมีตัวบ่งชี้ที่เป็นลบต่อตลาดหุ้น เช่น เงินหยวนที่อ่อนค่า ดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับหลาย ๆ สกุล และ Bond Yield ของสหรัฐฯสูงขึ้น จึงทำให้ SET Index จึงไม่สามารถทะลุจุดต้านเดิมที่ 1,738 จุดได้
ดังนั้น ในสัปดาห์นี้ทิศทางของตลาดหุ้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องเรื่องภาษีสหรัฐฯกับจีน หลังจากจีนได้ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มอีก 6 หมื่นล้านเหรียญเมื่อเย็นวันศุกร์ (3 ส.ค.) ดังนั้น ท่าทีของสหรัฐฯต่อข่าวดังกล่าวพร้อมจะเป็นทั้งบวกและลบต่อตลาด อย่างไรก็ตามนักลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะไทย อินโดนิเซียและฟิลิปปินส์ มีการขายน้อยลง
ขณะเดียวกันบางจังหวะเริ่มกลับมาซื้อหุ้นตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ถือเป็นสัญญาณที่ดีของตลาด แต่คาดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศจะยังไม่กลับเข้าตลาดหุ้นอย่างจริงจัง หากตลาดหุ้นโลกยังมีปัจจัยถ่วงหลาย ๆ ตัวดังที่เป็นอยู่ ในสัปดาห์นี้จับตาดูการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ซึ่งจะเป็นบ่งชี้ว่าจะมีการขายหุ้นระลอกใหม่หรือไม่
ทั้งนี้ อีกปัจจัยในต่างประเทศที่สำคัญ ทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัว ซึ่งมีแรงกดดันจากการตอบโต้ของจีนที่จะชะลอการนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯและกังวลต่อปริมาณ Supply ที่สูงขึ้น ถือเป็นผลลบต่อหุ้นผู้ผลิตน้ำมันในบ้านเรา เช่น PTTEP แต่อาจเป็นผลดีต่อหุ้นปิโตรเคมีขั้นต้นอย่าง PTTGC, IRPC
ส่วนปัจจัยในประเทศ การรายงานผลกำไรของ บจ.ไตรมาส 2 ณ วันที่ 3 ส.ค. บริษัทใน SET รายงานมาแล้ว 51 บริษัท มีตัวเลขที่ 9.0 หมื่นล้านบาท สูงขึ้น 6% จากงวดปีก่อน และลดลง 12% จากไตรมาสก่อน ซึ่งช่วงก่อนสัปดาห์สุดท้ายคาดว่าจะนำส่ง 50% ของทั้งหมด มองว่ากำไรอาจไม่แย่อย่างที่เคยคาดถือเป็นอีกปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ จะเริ่มเห็นการออกมาตรมากขึ้น ทั้งการช่วยผู้มีรายได้น้อย , กระตุ้นการลงทุนโครงการสาธารนูปโภค และการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ค้าปลีก , นิคมอุตสาหกรรม , รับเหมาก่อสร้าง อีกประเด็นที่ต้องจับตาดูคือเรื่อง การตัดสินใจเข้าประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz (18 ส.ค.) และ 1800 MHZ (19 ส.ค.) ของ ADVANC-TRUE-DTAC ในวันที่ 8 ส.ค.หรือไม่ โดย DTAC จะถูกจับตามากที่สุดเนื่องจากมีคลื่นความถี่เป็นของตัวเองน้อยที่สุดในบรรดา 3 บริษัท
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ การเข้าลงทุนต้องเลือกเข้าซื้อเป็นรายตัว โดยหุ้นเด่นในแต่ละกลุ่มของสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย CPN, AMATA, KTC, HANA, AP, PTTGC, BBL และ SPALI ขณะเดียวกันนักลงทุนควรมีการสลับขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามากหรือราคาเริ่มทรงตัว