นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) คาดว่าสินเชื่อรวมในปี 61 จะเติบโต 15% เกินกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 10% หลังจากที่ครึ่งปีแรกสินเชื่อรวมเติบได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5% มาที่ 10.2% โดยสินเชื่อเกือบทุกประเภทเติบโตโดเด่น โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ที่ฟื้นตัวขึ้นดีและกลับมาเป็นบวกได้ จากยอดขายรถยนต์ที่กลับมาดีขึ้น โดยที่พอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคารในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.33 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนสินเชื่อราว 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ อีกทั้งสินเชื่ออื่น ๆ เช่น สินเชื่อบรรษัท สินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ และสินเชื่อรายย่อย ยังเติบโตได้ดี ยกเว้นสินเชื่อลอมบาร์ดที่เติบโตได้เพียงเล็กน้อย
สำหรับในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อยังคงต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยยังเป็นการขยายตัวของสินเชื่อในทุกกลุ่ม ซึ่งธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อรวมในครึ่งปีหลังเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ขณะที่การแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยนั้นธนาคารจะไม่แข่งขันมาก เพราะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารลดลง และส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคาร และไม่มีนโยบายที่จะไปแย่งลูกค้าจากธนาคารอื่นเข้ามา โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารจะปล่อยให้เป็นไปตามภาวะและความเหมาะสมที่ธนาคารเห็นสมควร ซึ่งสิ่งที่ธนาคารเน้นมากที่สุด คือ กำไรสุทธิ (Bottom line) ที่ต้องออกมาดี พร้อมกับคาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิในปี 60 อยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกของปีนี้ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.06 พันล้านบาท
แนวโน้มการตั้งสำรองฯในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะลดลงจากครึ่งปีแรกที่มีการตั้งสำรองฯเพิ่มไป 489 ล้านบาท จากแนวโน้มของคุณภาพหนี้ของลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ดีขึ้น และมีสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ลดลงเหลือ 2% ในครึ่งปีแรก อีกทั้งกระบวนการพิจารณาสินเชื่อและการติดตามหนี้ของธนาคารมีระบบที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ NPL ของลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ดีขึ้น และส่งผลต่อภาพรวมของ NPL ของธนาคารที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาที่ 4.5% ในครึ่งปีแรกของปีนี้ จากสิ้นปีก่อนที่ 4.7% และคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป้าหมาย NPL ของธนาคารในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 4% โดยที่ธนาคารไม่มีแผนขาย NPL ออกไป แต่จะยังมีการพิจารณาขายสินทรัพย์กลุ่ม NPA เท่านั้น
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/61 ธนาคารจะต่อยอดการบริการลูกค้าในกลุ่ม Weath ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ที่กว่า 4 แสนล้านบาท โดยการพาลูกค้าออกไปลงทุนในต่างประเทศเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการกระจายการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น โดยที่ร่วมกับ 10 พันธมิตรการเงินระดับโลก ที่จะให้บริการแก่ลูกค้าในการลงทุนผ่านตราสารหนี้และกองทุนรวม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าของกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทรขยายการลงทุนในประเทศอื่นๆ ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศเพียงแห่งเดียว
ด้านนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บล.ภัทร บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 61 คาดว่าแนวโน้มของดัชนียังมี Upside หลังจากที่ไตรมาส 2/61 ดัชนีได้ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,600 จุดไป ทำให้ทางบล.ภัทร ปรับมุมมองของดัชนี SET ในครึ่งปีหลังกลับมาเป็นบวก
โดยที่ปัจจัยหนุนดัชนีในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมาจากภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวได้ดี ซึ่งคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ของไทยในปีนี้จะเติบโต 4.2% และมีงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ต่างๆที่จะเริ่มเปิดประมูลในช่วงปลายปีเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความชัดเจนด้านภาพของการลงทุนออกมาสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น
ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยต่างๆภายในประเทศครึ่งปีหลังจะมีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะไนช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งเป็นประจำทุกปีที่ประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล อีกทั้งการท่องเที่ยวจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น อีกทั้งในปกติช่วงปลายปีทิศทางของดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงของการการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทำให้มีปัจจัยหนุนจากแรงซื้อของฝั่งสถาบันเข้ามาหนุนดัชนี ซึ่งบล.ภัทรยังคงเป้าหมายดัชนี SET ในปีนี้ที่ 1,670-1,820 จุด โดยมี P/E อยู่ที่ 15-16 เท่า
อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยงของปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศอื่นๆที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษกิจโลกในภาพรวม การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลก ซึ่งทำให้สภาพคล่องในระบบเริ่มลดลง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลต่อการไหลอออกของกระแสเงินทุน และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องติดตาม เพราะส่งผลต่อความผันผวนของการลงทุนในตลาดทั่วโลก
โดยคำแนะนำในการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ แนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงาน ซึ่งมีการเติบโตของผลกานดำเนินงานที่ต่อเนื่อง และบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้ประจำ และมี P/E ที่ไม่แพงจนเกินไป โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น AP และ QH กลุ่มบริษัทที่มีรายได้ประจำจากการท่องเที่ยว เช่น ERW และ AOT กลุ่มสื่อสาร เช่น INTUCH และ ADVANC และกลุ่มพลังงาน เช่า PTTEP และ EPCO