นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมทั้งปี 61 เติบโตราว 15-20% จากปีก่อน โดยมั่นใจว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เชื่อว่าภาพรวมของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ คือ การขนส่งทางทะเลและทางบก การขนส่งทางอากาศ การขนส่งเคมีภัณฑ์ และ การบริการจัดการด้านโลจิสติกส์
บริษัทคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีการเติบโตของยอดขายและรายได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจส่งออกและธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งพันธมิตรหลักอย่างสายการบิน Thai AirAsia X ได้มีการขยายเส้นทางใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจการขนส่งทางเรือมองว่าปีนี้จะมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเช่นกัน
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า รวมถึงมีการจัดการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นทำให้อัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นซึ่งจะเห็นผลชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี
นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมรับรู้กำไรจากการเข้าลงทุนในบริษัท DG Packaging ในสิงคโปร์ในสัดส่วน 50% ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.61 เป็นต้นไป จากที่คาดว่าแต่ละปีจะมีการรับรู้ฯ ราว 30 ล้านบาท โดยคาดว่าในปีนี้จะรับรู้ฯ เข้ามาราว 15 ล้านบาท จากเป้าหมายการทำกำไรของ DG Packaging ที่ 2.2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
นายทิพย์ กล่าวว่า บริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจขนส่งทางอากาศในประเทศ ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/61 จะได้บริษัท ไปรษณีย์ไทย กลับเข้ามาใช้บริการขนส่งทางอากาศหลังหยุดใช้ไปตั้งแต่เดือน ก.ย.60 เพื่อปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่งทางอากาศ ซึ่งตัวเลขในอดีตมีการขนส่งราว 1,000-1,500 ตันต่อเดือน และใช้ท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นสนามบินหลัก
ปัจจุบัน บริษัทมีคลังสินค้าที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยมีสายการบิน Thai AirAsia เป็นลูกค้าหลัก ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับการขนส่งสินค้าทางอากาศไม่ต่ำกว่า 85% และจำนวนเที่ยวบินเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลก็มีแผนขยายสนามบินดอนเมืองในอนาคต ประกอบกับสายการบินมีการขยายเส้นทางใหม่ ๆ ตามเมืองรองมากขึ้นด้วย
อนึ่ง บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ 70% ธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับขนส่งสินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์ 20% ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลและทางบก 5% และธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ 5%
นายทิพย์ กล่าวต่อว่า นอกจากการเติบโตจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักแล้ว บริษัทยังตั้งเป้าขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักจำนวนปีละ 1 ราย เพื่อเพิ่มการเติบโตแบบ inorganic growth โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและคาดว่าจะสรุปได้ 1 ดีลในปี 62 ซึ่งเป็นธุรกิจที่เน้นการตอบโจทย์กลยุทธ์และทิศทางการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งจะเน้นขยายไปยังประเทศที่เป็น Logistic HUB อาทิ สิงคโปร์และฮ่องกง
ขณะที่ปัจจุบัน III ยังเหลือเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) อยู่ราว 500 ล้านบาท ประกอบกับ บริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ระดับต่ำเพียง 0.5 เท่า จึงมีความสามารถในการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้อีกมาก ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการลงทุน