ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ที่ระดับ "A"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารบริการด่วน รวมถึงระดับหนี้สินที่ต่ำแต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัล อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนด้วยลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่มีความผันผวนตามวงจรและมีความเสี่ยงจากผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยมีการเติบโตสูง ทริสเรทติ้งคาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเฉลี่ยปีละ 13% โดยอยู่ที่ 35.4 ล้านคนในปี 2560 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 19.5 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ซึ่งคิดเป็นการเติบโตในอัตรา 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตดังกล่าว โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 28% ในช่วงปี 2557-2560 และมีจำนวนคิดเป็น 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในประเทศไทยในปี 2560
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตที่แข็งแกร่งของการท่องเที่ยวในประเทศไทยเนื่องจากโรงแรมส่วนใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2561 บริษัทมีโรงแรมของตนเอง 15 แห่งในประเทศไทยและ 2 แห่งในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมที่บริษัทบริหารภายใต้สัญญาจ้างบริหารอีกจำนวน 18 แห่งในประเทศไทยและ 3 แห่งในต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัทมาจากโรงแรมในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80%
แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ทริสเรทติ้งมองว่าการที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลักนั้นทำให้มีความเสี่ยงจากผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าการพึ่งพานักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่มากขึ้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนอาจจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคตได้ในกรณีที่นักท่องเที่ยวดังกล่าวเปลี่ยนความนิยมไปเป็นแหล่งท่องเที่ยวในประเทศอื่น หรือในกรณีที่เศรษฐกิจของประเทศที่นักท่องเที่ยวอาศัยอยู่ซบเซา
จะมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายยิ่งขึ้นจากธุรกิจโรงแรมในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัทภายในปี 2565 จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 5 ของรายได้รวมของธุรกิจโรงแรม โรงแรมในต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนาประกอบไปด้วยโรงแรมซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของเองจำนวน 2 แห่งในประเทศมัลดีฟและโรงแรมซึ่งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจอีก 1 แห่งในนครดูไบ
นอกเหนือจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศแล้ว บริษัทยังได้เปิดตัวโรงแรมใหม่ภายใต้ตราสินค้า "โคซี่" (COSI) ซึ่งเป็นโรงแรมราคาประหยัดที่เน้นวิถีการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่เพิ่มเข้ามาในสินค้าธุรกิจโรงแรมของบริษัทด้วย โรงแรมโคซี่แห่งแรกเปิดดำเนินการเมื่อปลายปี 2560 และบริษัทมีแผนจะเปิดโรงแรมโคซี่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปแบบที่บริษัทลงทุนเองและรับจ้างบริหารภายใต้สัญญาในอนาคตอีกด้วย
บริษัทวางแผนจะเพิ่มจำนวนโรงแรมและรายได้จากธุรกิจโรงแรมในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าหลังจากที่ธุรกิจในส่วนนี้ค่อนข้างคงที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนห้องพักรวมของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะเพิ่มขึ้นถึง 5,000 ห้องภายในปี 2565 จาก 4,179 ห้อง ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2561
การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหาร ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหารจะกดดันการเติบโตของบริษัทในอนาคตโดยจะเห็นได้จากจำนวนร้านอาหารที่เป็นทางเลือกแก่ลูกค้าที่มีมากขึ้นและการเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารที่ทำได้ค่อนข้างง่าย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารของบริษัทมียอดขายในสาขาเดิมเติบโตติดลบเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม รายได้รวมของบริษัทจากธุรกิจร้านอาหารเติบโต 4% ในปี 2560 มาอยู่ที่ 10,888 ล้านบาทโดยการเปิดสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลักของการเติบโต
ทริสเรทติ้งคาดว่า "เคเอฟซี" จะยังคงเป็นตราสินค้าหลักในธุรกิจร้านอาหารของบริษัทต่อไป บริษัทดำเนินธุรกิจร้านเคเอฟซีในรูปแบบแฟรนไชส์โดยรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากเคเอฟซีคิดเป็นสัดส่วนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจร้านอาหารทั้งหมดของบริษัทในช่วงปี 2557-2560
ขณะที่ตราสินค้าระดับรองอื่น ๆ บางตราก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโต เช่น "เปปเปอร์ ลันซ์" ที่มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 38% ต่อปีและยอดขายในสาขาเดิมที่เติบโตขึ้นในช่วงปี 2559-2560 ในขณะเดียวกัน ร้าน "คัทซึยะ" ซึ่งเป็นร้านข้าวหน้าหมูทอดสไตล์ญี่ปุ่นก็มีการเติบโตที่ดีในช่วงปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตราสินค้าดังกล่าวก็ยังมียอดขายน้อยกว่า 4% ของยอดขายรวมในธุรกิจร้านอาหารของบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งในการขยายฐานรายได้จากตราสินค้าที่มีมากขึ้น
ระดับหนี้สินที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นโดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (ปรับปรุงด้วยสัญญาเช่าดำเนินงาน) น่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 58% ในปี 2563 จาก 49% ในปี 2560 อันเป็นผลจากการลงทุนซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2563 ซึ่ง 80% ของเงินลงทุนดังกล่าวจะใช้สำหรับลงทุนในโรงแรมแห่งใหม่และปรับปรุงโรงแรมที่มีอยู่เดิม และส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มเติมและซ่อมบำรุงสาขาเดิม
ทริสเรทติ้งประมาณการรายได้ของบริษัทจะเติบโตโดยเฉลี่ยที่ระดับ 5% ต่อปีและ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 4,800-5,400 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2563 โดยการเติบโตจะมาจากการขยายสาขาร้านอาหารเป็นหลักในขณะที่โรงแรมที่มีอยู่เดิมบางแห่งจะยังคงอยู่ในช่วงการปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาบางแห่งจะยังไม่เปิดให้บริการ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (ปรับปรุงด้วยสัญญาเช่าดำเนินงาน) ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและคงอยู่ในระดับไม่เกิน 3.2 เท่าในช่วงปี 2561-2563 จากเดิมที่ระดับ 2.0 เท่าในปี 2560
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารบริการด่วนเอาไว้ได้ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถขยายและสร้างความหลากหลายให้แก่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้มากยิ่งขึ้นโดยที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่น่าพอใจเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงเป็นระยะเวลานาน หรือหากบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก