นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล กรรมการ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมากกว่าครึ่งปีแรก แม้ว่าปกติจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ แต่ในปีนี้บริษัทได้รับรับปัจจัยหนุนจากกำลังการผลิตของ 3 โรงงานใหม่ในบราซิล อียิปต์ และโปรตุเกส เข้ามาเสริมอีก 1.8 ล้านตัน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ดีกว่าปกติ
ทั้งนี บริษัทคาดว่าในไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาส 3/61 โรงงานผลิต PET ในบราซิล กำลังการผลิต 550,000 ตัน/ปี จะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มไตรมาส ส่วนโรงงานผลิต PET ในอียิปต์จะรับรู้รายได้เข้ามาเพียง 1 เดือน และรับรู้รายได้เต็มในไตรมาส 4/61 และโรงงานผลิต PTA ในโปรตุเกส จะรับรู้รายได้เต็มในไตรมาส 4/61
บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ในครึ่งปีหลังอยู่ที่ 6.5-7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.1-1.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
"การมีกำลังการผลิตเข้ามาเพิ่มขึ้น จะช่วยทำให้กำไรของบริษัทมากขึ้นตามไปด้วย เพราะนอกจากบริษัทจะสามารถผลิตได้มากขึ้นแล้ว ยังทำให้การผลิตเกิด Economy of scale ซึ่งทำให้ภาพรวมในครึ่งปีหลังของปีนี้แตกต่างจากทุกปี แม้ว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นก็ตาม"นายดีลิป กล่าว
ในด้านความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในตลาดนั้นยังมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น และแข็งแร่ง โดยเฉพาะความต้องการใช้จากจีนที่เติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก ส่วนซัพพลายในตลาดเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากที่ผู้ประกอบการในตลาดเรื่มมีการปรับตัว เพื่อทำให้ซัพพลายในตลาดไม่มีมากเกินไป และส่งผลดีต่อภาพรวมของอุตสาหกรรม
สำหรับการลงทุนในโครงการอื่นๆนั้น บริษัทยังคงมองหาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอต่อการรองรับการลงทุน ขณะที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับต่ำที่ 1.1 เท่า และบริษัทมีวงเงินที่รองรับการลงทุนเหลืออีก 5-6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายดิลิป กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าในปี 62 กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ,ภาษีเงินได้ ,ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) จะทำได้ตามเป้าหมาย เพิ่มขึ้น 74% จากปี 60 มาอยู่ที่ 1.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเมื่อช่วงต้นปี 61เนื่องจากพื้นฐานอุตสากรรมที่แข็งแกร่ง การเติบโตของกำไรที่มีความชัดเจน และการมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 13 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบันที่ 9.7 ล้านตัน/ปี