SCI เปิดเดินเครื่อง รง.เสาส่งไฟฟ้า-โทรคมฯในเมียนมา,มั่นใจนปีนี้พลิกมีกำไรพร้อมวางเป้าปี 62 รายได้แตะ 2.2-2.3 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 9, 2018 11:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีไอ อีเลคตริค (SCI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำพิธีเปิดโรงงาน SCI Metal Tech(Myanmar) อย่างเป็นทางการในวันนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 20% ในปี 62 จากปัจจุบัน 10%

ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวใช้งบลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ หรือราว 660 ล้านบาท สามารถผลิตเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงและเสาสื่อสารโทรคมนาคมนั้นมีกำลังการผลิตที่ 7,500 ตันต่อปี และโรงงานชุบสังกะสีหรือชุบกัลป์วาไนซ์กำลังการผลิต 2.4 หมื่นตันต่อปี

"การขยายการลงทุนในเมียนมาครั้งนี้ เพื่อที่จะเป็นการกระจายฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ลดการพึ่งพาของรายได้ในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยในปีหน้าคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ ที่ไม่รวมกับรายได้จากโครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูงใน สปป.ลาว จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% และรายได้ในประเทศ 80% จากปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะอยู่ที่ 10% และรายได้ในประเทศ 90%"นายเกรียงไกร กล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทคาดว่าในปี 62 รายได้รวมจะเติบโตแตะ 2.2-2.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากเปิดโรงงานแห่งในในเมียนมา และจากการรับรู้รายได้โครงการที่ประมูลได้ในปี 61 เข้ามา ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 15%-20% หลังโรงงานในเมียนมาเริ่มผลิตสินค้าเพื่อใช้ในงานก่อสร้างในเมียนมา ซึ่งมีราคาขายดีกว่าราคาขายในประเทศไทยและมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า

ส่วนโครงการสายส่งไฟฟ้า 500 kv ในสปป.ลาวที่หยุดดำเนินการไปเมื่อปี 60 เชื่อว่าทางรัฐบาลลาวจะเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับการลงทุนได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากใน สปป.ลาวมีโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนมากที่จะเริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงปี 62-63 จึงต้องมีการสร้างสายส่งไฟฟ้าเพื่อที่จะรองรับก่อนที่โรงไฟฟ้าที่กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จ

สำหรับทิศทางผลประกอบการในปีนี้ นายเกรียงไกร กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่าจะพลิกมีกำไรสุทธิ โดยผลงานจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป แม้ไตรมาส 1/61 จะยังมีผลขาดทุน 23.19 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2/61 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์รูฟท็อปภายใต้บริษัทร่วมทุน คือ บริษัท ที ยูทิลิตี้ส์(TU) เข้ามา และแนวโน้มเงินบาทเริ่มอ่อนค่า ซึ่งหากค่าเงินบาทอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์จะทำให้บริษัทเริ่มมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงงานเสาส่งที่เข้ามาเพิ่มขึ้น

บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตได้ราว 15% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,678.29 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ราว 10% โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 100-200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 3/61 นี้ทั้งหมด และคาดว่าจะมียอดขายเสาเทเลคอมราว 1,600 ต้น ในปีนี่ จากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯได้มียอดขายแล้ว 800 ต้น

นอกจากนั้น SCI ยังเตรียมเข้าประมูลงานต่อเนืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ งานสายส่งไฟฟ้าขนาด 500 kv จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 2 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงโครงการ"คันบก"ซึ่งเป็นงานเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงของภาคเอกชนในเมียนมา ระยะทาง 450 กิโลเมตร คิดเป็นเสาส่งจำนวน 4.5 หมื่นตัน ระยะเวลาโครงการ 3 ปี คาดว่าจะได้รับงานราว 2 หมื่นตัน เริ่มต้นก่อสร้างในปี 62 แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุมูลค่าของงานได้

ขณะที่งานภายใต้บริษัทร่วมทุน TU นั้น โครงการโซลาร์รูฟท็อปปัจจุบันเซ็นสัญญาในรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนด้วยกัน (Private PPA) แล้ว 4 เมกะวัตต์ และติดตั้งแล้วเสร็จไปและจ่ายไฟเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) 2 เมกะวัตต์ รวมทั้งอยู่ระหว่างเจรจาเซ็นสัญญากับโรงงานอุตสาหกรรมอีก 3 เมกะวัตต์ ซึ่งปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถ COD ได้รวม 7 เมกะวัตต์ โดยโครงการดังกล่าวมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 12%

นอกจากนี้ TU ยังอยู่ระหว่างเข้าประมูลโรงผลิตน้ำในภาคใต้ของไทย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประมูลช่วงปลายปี 61 และคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปี ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 62 โดย TU จะเข้ารับผิดชอบในส่วนโรงกรองน้ำด้วย มูลค่าการลงทุน 600 ล้านบาท ในขณะเดียวกันยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างร่วมกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในเวียดนาม คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 62 และน่าจะทำให้ TU เริ่มมีกำไรสุทธิภายในปี 62


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ