นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซันสวีท (SUN) กล่าวว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า โดยปัจจุบันมาอยู่ในระดับ 33.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งมองว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว ขณะที่บริษัทยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อการส่งออก ภายใต้แบรนด์ KC เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 รายการ ได้แก่ สับปะรดถุงพร้อมทาน และข้าวโพดบาร์บีคิว คาดว่าจะวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อในประเทศเกาหลีได้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ โดย SUN คาดหวังอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าใหม่จะเพิ่มขึ้นกว่า 20%
บริษัทยังมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศโซนเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 50% โดยคาดหวังจะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศถึง 80% มาจากกลุ่มประเทศเอเชีย 50% และที่เหลือมาจากยุโรปและตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ยังมีแผนปรับพอร์ตการจำหน่ายสินค้า จากเดิมที่มีสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวโพดกระป๋องอยู่ที่ 70%, ข้าวโพดแช่แข็ง 20% และข่าวโพดถุงพร้อมทาน 15% จะปรับใหม่เป็น 60%,25%, และ 15% ตามลำดับภายใน 1-2 ปีนี้ ตามปริมาณการจำหน่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้ทำการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อผลิตข้าวโพดหวานแช่แข็ง (Frozen) เพิ่มเติมจากเครื่องจักรเดิมที่เต็มกำลังการผลิต ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตข้าวโพดหวานแช่แข็งจากเดิมได้ถึง 3 เท่า ประมาณ 20,000 ตันต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับยอดการสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่เข้ามาจากต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลังที่ถือเป็นไฮซีซั่น และช่วยขยายสัดส่วนยอดขายของผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานแช่แข็งเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด จากเดิม 20% ในไตรมาส 1/61 ตามแผนที่วางไว้
นายองอาจ กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามปริมาณการขายที่เติบโตขึ้น โดยคาดว่าจะเติบโตราว 20% หรือคิดเป็นปริมาณการผลิตในปีนี้จะอยู่ที่ 1.2 แสนตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1 แสนตัน โดยนโยบายของบริษัทจะมีการขายสินค้าล่วงหน้าราว 70% หรือคิดเป็นสินค้ารอส่งมอบในขณะนี้มูลค่า 600-700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งมอบในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี โดยมีลูกค้ากว่า 200 ราย และมีการจำหน่ายไปยัง 50-70 ประเทศทั่วโลก และในส่วนอีก 30% บริษัทไม่ได้ทำการล็อคราคาขายเอาไว้ เพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี หรือในภาวะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า
พร้อมกันนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในโซนเอเชียราว 2-3 ราย เพื่อร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจ คาดว่าจะชัดเจนภายในปี 62
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/61 บริษัทมีรายได้รวม 479.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.3 ล้านบาท คิดเป็น 7.9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีผลการผลิตเพิ่มขึ้นจากการมีปริมาณลูกค้าเพิ่ม และมีคำสั่งการสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ จากการที่บริษัทมีการออกงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 21.1 ล้านบาท ลดลง 9.4 ล้านบาท หรือลดลง 30.9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากกำไรขั้นต้นลดลง จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการขาย ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารและต้นทุนทางการเงินจะลดลงก็ตาม
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้เท่ากับ 919.3 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 26.3 ล้านบาท หรือ ลดลง 50.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน