MINT เผยกำไร Q2/61 โต 64% จากธุรกิจโรงแรมที่มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น-กำไรจากธุรกิจอสังหาฯโตมีนัยสำคุญ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 9, 2018 17:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ประกาศกำไรสุทธิจำนวน 1,205 ล้านบาทในไตรมาส 2/61 เพิ่มขึ้น 64% จาก 737 ล้านบาทในไตรมาส 2/60 การเติบโตของกำไรสุทธิดังกล่าวเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของไมเนอร์ โฮเทลส์ ด้วยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของโรงแรมในตลาดหลักของบริษัท และการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผลกำไรจากเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปซึ่งบริษัทได้เข้าลงทุนในไตรมาสที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทมีการบันทึกผลกำไรจากการเปลี่ยนสถานะของเงินลงทุนในเบนิฮานาจำนวน 121 ล้านบาท หากไม่นับรวมผลกำไรที่เกิดขึ้นครั้งเดียวดังกล่าว บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอัตราร้อยละ 47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับครึ่งปีแรกของปี 61 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 2,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงครึ่งปีแรกของปี 60 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 2,661 ล้านบาท

ทั้งนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ดำเนินธุรกิจเป็นเจ้าของและรับจ้างบริหารโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ในไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิจำนวน 705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 145% จากไตรมาส 2/60 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 287 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองเพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ความน่าดึงดูดของโรงแรมในเครือไมเนอร์ โฮเทลส์ และความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาด แม้ว่าสกุลเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อสกุลเงินต่างประเทศที่ไมเนอร์ โฮเทลส์ดำเนินธุรกิจอยู่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ สกุลเงินบราซิลเลียน เรอัล และสกุลเงินต่างๆ ของแอฟริกา

หากไม่รวมผลกระทบจากการแปลงค่างบสกุลเงินต่างๆ กลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในอัตราร้อยละ 7 ซึ่งส่วนใหญ่เนื่องมาจากโรงแรมในต่างประเทศ ซึ่งมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่แข็งแกร่งในอัตราร้อยละ 11

ส่วนโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองในประเทศไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาส 2/61 เนื่องมาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ กลุ่มโรงแรมในประเทศโปรตุเกสยังคงได้รับผลประโยชน์จากการขึ้นราคาค่าห้องพักภายหลังจากการปรับปรุงโรงแรม ในขณะที่กลุ่มโรงแรมในประเทศบราซิลมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอัตรา 22% ในสกุลเงินท้องถิ่น โรงแรมในประเทศ มัลดีฟส์มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะเผชิญกับปัญหาจำนวนโรงแรมใหม่และการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้น ด้วยความสำเร็จในการทำการตลาดแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายของไมเนอร์ โฮเทลส์

อีกทั้ง ในไตรมาส 2/61 กำไรสุทธิจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญของกำไรสุทธิรวมของไมเนอร์ โฮเทลส์ นอกจากนี้ การลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังสร้างผลกำไรให้กับบริษัท ด้วยเงินปันผลรับสุทธิด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องจำนวน 215 ล้านบาท

สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 61 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จากผลการดำเนินงานที่ดีของโรงแรมในตลาดหลักที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผลกำไรจากเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ทั้งนี้ ประเทศไทยจะยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัท ในขณะที่ผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว โรงแรมในประเทศโปรตุเกสจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกจากการปรับปรุงโรงแรมที่เสร็จสิ้น ส่วนโรงแรมในประเทศบราซิลจะมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสกุลเงินท้องถิ่น

ขณะ ที่ไมเนอร์ ฟู้ดดำเนินธุรกิจร้านอาหารแบบนั่งทานโดยมี 4 กลุ่มธุรกิจร้านอาหารหลัก ได้แก่ ประเทศไทย จีน ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิจำนวน 470 ล้านบาทในไตรมาส 2/61 เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 2/60 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 431 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรจากการเปลี่ยนสถานะของเงินลงทุนในเบนิฮานาจำนวน 121 ล้านบาท แม้ว่าการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมในตลาดหลักของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันในไตรมาส 2/61

แต่ผลการดำเนินงานในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในแต่ละเดือน โดยสเวนเซ่นส์และแดรี่ ควีนมียอดขายต่อร้านเดิมที่เพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน เนื่องมาจากการออกเมนูใหม่ ได้แก่ การเปิดตัวเมนูบิงซู ซันเดหลากหลายรสชาติของสเวนเซ่นส์ และเมนูไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟรสชาไทยของแดรี่ ควีน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละเดือนเช่นเดียวกัน ทั้งในแง่ยอดขายต่อร้านเดิมและยอดขายโดยรวมทุกสาขา

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 61 การบริโภคของภาคเอกชนในประเทศไทยคาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสัญญานที่ดีขึ้นของแนวโน้มรายได้เกษตรกร ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงออกกลยุทธ์ทางการตลาด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และดำเนินแผนการขยายสาขาต่อไป ส่วนในประเทศจีน ไมเนอร์ ฟู้ดอยู่ในระหว่างเร่งขยายสาขาของริเวอร์ไซด์ในกรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ตามแผนที่ได้ตั้งไว้ เดอะ คอฟฟี่ คลับประสบความเสร็จในการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศภายนอกประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยและตะวันออกกลาง และมีความพร้อมในการขยายสาขาในตลาดใหม่ต่อไป นอกจากนี้ การลงทุนในสัดส่วน 75% ในธุรกิจเบนิฮานาภายนอกสหรัฐอเมริกาในไตรมาสดังกล่าวยังสามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้ทันทีและต่อไปในอนาคตข้างหน้า

ด้านไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและสินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนภายใต้แบรนด์ต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าในครัวเรือนให้กับบริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์มีกำไรสุทธิจำนวน 30 ล้านบาทในไตรมาส 2/61 เพิ่มขึ้น 67% จาก 18 ล้านบาทในไตรมาส 2/60 โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของแบรนด์แฟชั่น โดยเฉพาะบรูคส์ บราเธอร์ส บอสสินี่ และชาร์ล แอนด์ คีธ

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/61 ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ได้เปิดตัวโบเดิ้ม ซึ่งเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟและเครื่องครัวจากประเทศเดนมาร์ก ในประเทศไทย ทั้งนี้ ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์จะยังคงพิจารณาขยายเครือข่ายแบรนด์กลุ่มสินค้าแฟชั่นและเครื่องใช้ในบ้านและครัวเรือนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ