นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรก 61 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 89,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 6,358 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,153 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/61 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 45,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ 1,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 ของกลุ่มบางจากฯ ทำรายได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น มี EBITDA 1,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีปริมาณการผลิตลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 66,800 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 56% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น ซึ่งเป็นไปตามแผนการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี รวม 45 วัน และในครึ่งปีหลังนี้จะกลับมากลั่นเต็มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าการกลั่นพื้นฐาน ปรับลดลงจากปริมาณการผลิตที่ลดลง และจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ปรับตัวขึ้นในไตรมาสนี้ ทำให้มีกำไรจาก Inventory Gain 856 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงกลั่น ตามโครงการ 3E (Efficiency, Energy, and Environment Improvement Project, 3E Project) ขณะนี้ได้ผู้รับเหมามาดำเนินการออกแบบก่อสร้างหน่วยเพิ่มออกเทนและขยายกำลังการผลิตหน่วยแตกโมเลกุล และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563
ด้านกลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 509 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายรวม 1,455 ล้านลิตร ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปริมาณการจำหน่ายในส่วนของตลาดอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากการบริหารสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปในช่วงหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ขณะที่ปริมาณจำหน่ายในตลาดค้าปลีกซึ่งเป็นช่องทางหลักมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายฐานลูกค้าตามกลยุทธ์ที่วางไว้ มีค่าการตลาดรวมสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากและรวดเร็ว ซึ่งบริษัท บางจากฯ ได้ชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการเพื่อลดภาระให้กับผู้บริโภคในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมตรึงราคาหน้าสถานีบริการในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์
BCP มีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการอยู่ที่อันดับ 2 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 เดือนแรกปี 61 มียอดการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ตลาดรวมขยายตัวเพียง 3% ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดสะสม 5 เดือนอยู่ที่ 15.7% และมีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกสูงสุดที่ 16% ในเดือน พ.ค.ผลจากการขยายจำนวนสถานีบริการมาตรฐานในพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีการรักษามาตรฐานการบริการ พร้อมจัดกิจกรรมที่หลากหลายในรูปแบบ Greenovative Experience พร้อมเปิดสถานีบริการเพิ่มขึ้น 71 สาขาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในพื้นที่ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบันบางจากฯ มีสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น 1,140 สาขาทั่วประเทศ
ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ทั้งร้านสะดวกซื้อ SPAR และร้านกาแฟอินทนิล ภายใต้การดูแลของบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ยังคงพัฒนาและขยายสาขาต่อเนื่องเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/61 มีจำนวนร้านกาแฟอินทนิลทั้งสิ้น 492 สาขา และ SPAR 35
สาขากลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าภายใต้การดำเนินงานของ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) บริษัทย่อยของ BCP EBITDA 793 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวม 81.58 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากโครงการผลิตไฟฟ้าฯ ในประเทศไทยที่มีค่าความเข้มแสงเฉลี่ยปรับลดลงจากฝนที่ตกต่อเนื่องยาวนานกว่าปกติ แต่เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากค่าความเข้มแสงเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยในไตรมาสนี้รับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการGotemba กำลังการผลิตไฟฟ้าสัญญา 4 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพภายใต้การดำเนินงานของบมจ.บีบีจีไอ (BBGI) บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ มี EBITDA 171 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจผลิตไบโอดีเซล 122 ล้านบาท และธุรกิจผลิตเอทานอล 74 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจผลิตไบโอดีเซล มีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้น จากสัดส่วนการผสม B100 ในน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 7% ตลอดทั้งไตรมาส กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้ในการผลิตปรับลดลง แต่ปริมาณการจำหน่ายลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากโรงกลั่นบางจากหยุดซ่อมบำรุงประจำปี
ส่วนธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงเอทานอลแปลงสภาพ มีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับรู้ผลการดำเนินงานของบมจ.เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จากการควบรวมบริษัท โดยแบ่งเป็นปริมาณการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เฉลี่ยที่ 96,000 ลิตรต่อวัน และปริมาณการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล เฉลี่ย 336,000 ลิตรต่อวัน
และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA 36 ล้านบาท มาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีรายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่มีปริมาณการผลิตที่ลดลงตาม Natural decline curve ของ Nido โดยในไตรมาส 2/61 นี้ BCP ได้ประกาศที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน OKEA ในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ (World Class Asset) อายุการผลิตต่อเนื่องระยะยาว ซึ่งคาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ ในช่วงปลายปี 61 และได้เข้าทำรายการเพื่อขายแหล่ง Galoc คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสที่ 3
ทั้งนี้ BCP มีแผนการผลักดันธุรกิจให้มีการเติบโตในระยะยาว มีแนวทางการบริหารงานและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพ รวมถึงสถาบัน BiiC ที่มีส่วนสำคัญในการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ตามแนวทางที่ดำเนินอยู่บนความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมเพื่อสร้างความสมดุลอย่างยั่งยืน