(เพิ่มเติม) สยามโกลบอลเฮ้าส์ คาดยื่นไฟลิ่ง Q2 เข้าตลาด Q3/51 ระดมทุนราว 1 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 19, 2007 12:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะยื่นความจำนงค์ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประมาณไตรมาส 2 ปี 51 และคาดว่าจะเข้าเทรดได้ในไตรมาส 3 ปี 51
"ถ้าเป็นไปได้คาดว่าสยามโกลบอลเฮ้าส์ จะเทรดในวันที่ 8 เดือน 8 ปี 08 แต่ก็ต้องขึ้นกับภาวะตลาดว่าเหมาะสมกับการระดมทุนหรือไม่ด้วย" นายสมภพ กล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังการกระจายหุ้น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 950 ล้านบาทจากปัจจุบันที่ 700 ล้านบาท โดยมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่ 1 บาท
"เนื่องจากเป็นขนาดระดมทุนระดับ 1 พันล้านบาทและมีการกระจายหุ้น 250-300 ล้านหุ้น อาจจะทำการเสนอขายในประเทศ และประเทศใกล้เคียงด้วย อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง และมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน" นายสมภพ กล่าว
ขณะที่นายวิทูร สุริยวนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด คาดว่า จะสามารถเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 250-300 ล้านหุ้น ได้ภายในปี 51 โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้รองรับการขยายสาขา ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และในจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยตั้งเป้าเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 3 สาขา
สำหรับปี 51 คาดว่าจะใช้เงิน 1 พันล้านบาทในการลงทุนขยายสาขา โดยเงินจะมาจากการระดมทุนผ่านตลาดฯ และหลังการกระจายหุ้นในตลาดฯ คาดว่าจะทำให้ D/E ปรับลดลงไม่เกิน 1 เท่า จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 1.5 เท่า
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 700 ล้านบาท มีสาขาที่เปิดบริการทั้งสิ้น 5 สาขา และในปี 51 มีแผนเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด ประกอบธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายร้านค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร รวมถึงสินค้า DIY (Do it yourself)
นายวิทูร คาดว่า ในปี 50 จะมียอดขายสินค้าหลักของบริษัทประมาณ 3.3 พันล้านบาท, 6 พันล้านบาท และ 1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ หลังจากมีการทยอยเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยการเปิดสาขาจะใช้เงินลงทุนประมาณ 350 ล้านบาทต่อสาขา
"บริษัทมีอัตราการเติบโตปีละไม่ต่ำกว่าปีละ 20% การขยายสาขาจะช่วยให้ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง แต่ปีนี้คาดว่าจะมีระดับ Net Profit ที่ 6-7% ซึ่งพยายามจะรักษาเอาไว้ต่อเนื่อง" นายวิทูร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ