ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ดุสิตธานี (DTC) ที่ระดับ "BBB+" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทภายใต้โครงการ Medium-term Debentures วงเงิน 5,000 ล้านบาทที่ระดับ "BBB+" ด้วย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้เพื่อการลงทุนตามแผนและชำระคืนหนี้บางส่วนของบริษัท
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงชื่อเสียงของบริษัทในฐานะผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ของไทยและการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบระมัดระวังของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงไปบางส่วนจากการที่บริษัทมีธุรกิจที่กระจายตัวไม่มากนัก ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโรงแรม และความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนตัวลง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการเข้าร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (Mixed-use) ที่จะส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในระหว่างการพัฒนาโครงการด้วย
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2561 บริษัทมีผลการดำเนินงานใกล้เคียงกับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ บริษัทมีรายได้ 1,439 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ความสามารถในการทำกำไรอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการปิดตัวลงของโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายก่อนเริ่มการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจการศึกษาที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 19.2% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 เทียบกับ 21.6% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
สภาพคล่องและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับดี ในไตรมาสแรกของปี 2561 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 293 ล้านบาท อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทยู่ที่ 26.1% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 และมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 32.9% ณ เดือนมีนาคม 2561
ทริสเรทติ้งคาดว่าความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ Mixed-use อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทได้ให้คำมั่นว่าบริษัทจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังต่อไป
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงนโยบายทางการเงินแบบอนุรักษ์นิยมของบริษัทและโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจบริหารโรงแรมและธุรกิจการศึกษา โดยบริษัทได้รับการคาดหมายว่าจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อต้านทานกับธรรมชาติที่ผันผวนของอุตสาหกรรมโรงแรมและพยุงสถานะเครดิตของบริษัทเอาไว้ให้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในระยะอันใกล้นี้ โดยพิจารณาจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการ Mixed-use อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากอัตรากำไรของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง หรือฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนโดยการก่อหนี้จำนวนมาก