นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิว นิเคชั่น (ILINK) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2/61 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,280.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.95% เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 63.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.09% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรก มีรายได้อยู่ที่ 2,618.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 120.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.53% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจหลัก ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจสายสัญญาณ (DISTRIBUTION) ,ธุรกิจวิศวกรรมและโครงการพิเศษ (ENGINEERING) และธุรกิจโทรคมนาคม (TELECOM) เติบโตในทิศทางที่ดี
โดย 1.ธุรกิจสายสัญญาณ (DISTRIBUTION) ครึ่งปีแรกมีรายได้อยู่ที่ 990.28 ล้านบาท ลดลง 1.07% จากงวดเดียวกันของปีก่อนทำได้ 1,000.97 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิอยู่ที่ 55.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 214.94% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน 17.58 ล้านบาท 2.ธุรกิจวิศวกรรมและโครงการพิเศษ (ENGINEERING) มีรายได้ 755.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208.77% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนทำได้ 244.72 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ 12.85 ล้านบาท ลดลง 49.46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนทำได้ 25.43 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจโทรคมนาคม (TELECOM) มีรายได้อยู่ที่ 857.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนทำได้ 391.83 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 65.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนทำได้ 42.69 ล้านบาท
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า แนวโน้มของการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2561 คาดว่า 1.ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (DISTRIBUTION) มีแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้ความสำคัญของผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ FTTH (FIBER Optic To The home) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการใช้งาน Internet ตามบ้านที่เพิ่มขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงการให้บริการจากสายทองแดงมาเป็นสาย Fiber Optic รวมทั้งการติดตั้งกล้องวงจรปิด โดยได้เปลี่ยนมาใช้ Technology PoE (Power Over Ethernet) ที่บริษัทฯ ได้นำอุปกรณ์ส่งสัญญาณของ Switch แบบ PoE เข้ามาเผยแพร่ ซึ่งคาดหวังว่าในอนาคตจะได้รับการยอมรับและช่วยสนับสนุนให้รายได้ของธุรกิจจัดจำหน่ายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นต่อไป นอกจากนี้ยังมี Backlog ของงานโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ (รัฐสภาแห่งที่ 3) จาก บมจ. เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) ที่ค้างส่งสินค้าในปีนี้จำนวน 70 ล้านบาทอีกด้วย
2.ธุรกิจวิศวกรรมและโครงการพิเศษ (ENGINEERING) มีแนวโน้มที่จะควบคุมโครงการที่กำลังก่อสร้าง ให้สามารถเสริมรายได้และมีผลกำไรในการดำเนินงานที่เริ่มสร้างกำไรให้กับธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันโครงการก่อสร้างยังมี Backlog อยู่จำนวน 2,918.49 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการโครงการใหม่ที่เซ็นสัญญาเพิ่ม ได้แก่ โครงการ Substation PEA มูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 อีกทั้งในครึ่งปี 2561 นี้ คาดว่าจะมีโครงการที่บริษัทฯ สนใจจะเริ่มเข้าประมูลอยู่หลายโครงการ เช่น โครงการสายเคเบิ้ลใต้ทะเล เกาะสมุยโครงการใหม่มูลค่า 2,000 ล้านบาท ,โครงการสายไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนเสาส่งแรงสูง,โครงการมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ,โครงการสถานีไฟฟ้าย่อยอีกหลายโครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายในการรับงานต่อไป จะต้องมีกำไรอย่างเพียงพอด้วย
3.ธุรกิจโทรคมนาคม (TELECOM) ด้วยความสามารถของผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มาบริหารธุรกิจดังกล่าว และโลกของการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทฯ ได้ใช้จุดแข็งนี้มาสร้างธุรกิจ ดังนั้นธุรกิจโทรคมนาคมจะยังเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ และกำไรให้เพิ่มขึ้นจากโครงข่ายสายไฟเบอร์ออฟติกที่ลงทุนไปแล้วและครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีบริการเช่าพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ของ Interlink Data Center ถูกเช่าเต็มแล้ว จึงได้ขยายธุรกิจไปร่วมมือลงทุนร่วมกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยเน้นจุดแข็งของแต่ละบริษัทมารวมกันสร้าง Data Center แห่งใหม่ ซึ่งใช้ชื่อ Genesis Data Center ที่เริ่มเปิดพื้นที่ให้บริการแล้ว และจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป
"ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถเพิ่มรายได้จากโครงการประมูลขยายโครงข่ายโทรคมนาคมขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบ เฟส 1 ซึ่งบริษัทฯย่อยชนะการประมูลและทยอยติดตั้ง คาดว่าจะสามารถส่งมอบงานได้ภายในปีนี้ โดยกำลังจะมีโครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบ เฟส 2 ออกมาให้ประมูลภายในปี 2561 อีกด้วยและคาดว่ารายได้ในปีนี้มีโอกาสทำได้มากกว่า 4,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 4,251 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้" นายสมบัติ กล่าว