นายฤทธี กิจพิพิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. สแกน อินเตอร์ (SCN) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิ 41.0 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.6 ล้านบาท หรือลดลง 26% เป็นผลมาจากการลงทุนในโครงการใหญ่ 2 โครงการ ส่งผลให้ต้นุทนทางการเงินเพิ่มขึ้น 84.17% ได้แก่ โครงการรถเมล์ NGV 489 คัน ของกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ซึ่งบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.ช ทวี (CHO) ในสัดส่วน 50:50 และการลงทุนซื้อหุ้นบริษัท GEP Thailand ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา
ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 และ 60 ใกล้เคียงกัน คือ 102.96 ล้านบาท และ 103.22 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งมีปัจจัยจากต้นทุนจากการลงทุนใน 2 โครงการใหญที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นการลงทุนที่จะสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring Income) ให้แก่บริษัทฯ
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยจากโครงการรถเมล์ NGV ที่มีความไปได้สูงที่จะมีการปลดล็อกคำสั่งได้ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO สามารถส่งมอบรถเมล์ลอตที่เหลืออีก 389 คันให้แก่ ขสมก. และจะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 30%
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.61 อนุมัติการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท GEP Thailand จำกัด อีก 21% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่แล้ว 30% ส่งผลให้บริษัทถือหุ้นเป็น 51% หรือคิดเป็นมูลค่าการลงทุนตามสัดส่วนของบริษัท 2,143 ล้านบาท โดย GEP Thailand เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้น 100% ในบริษัท GEP Myanmar จำกัดผู้ได้รับสัมปทานพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู และทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ บริษัท Electric Power Generation Enterprise จำกัด (EPGE) ระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการจ่ายไฟฟ้า
การเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมดังกล่าว จะทำให้ SCN ก้าวสู่การเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เมืองมินบู ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 220 MW โดยการเข้าลงทุนในครั้งล่าสุดนี้ SCN ได้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัดแบบกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุน (PP) จำนวน 24 ล้านหุ้น ในราคา 4.50 บาท เพื่อจัดสรรให้แก่ บริษัท Planet Energy Holdings จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นผู้ถือหุ้นดั้งเดิมในบริษัท GEP Thailand
บริษัท Planet Energy Holdings จำกัด เข้ามาซื้อหุ้นใน SCN ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดนั้น สะท้อนถึงความมั่นใจของ Planet Energy Holdings ที่เห็นศักยภาพการเติบโตของ SCN ที่จะมีการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงความเชื่อมั่นต่อการผลักดันการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ประสบความสำเร็จได้ตามแผนที่วางไว้ และสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน นอกเหนือจากประโยชน์ที่ SCN จะได้รับจากการลดต้นทุนทางเงินโดยไม่ต้องกู้ยืมเงินในการเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมใน GEP Thailand
ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 ในวันที่ 26 พ.ย.61 เพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัดแบบกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุนจากผู้ถือหุ้น
"เราเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน GEP Thailand เป็น 51% เพื่อเป็นเจ้าของโครงการ โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ในระดับที่มากกว่า 10% คาดจะเริ่มดำเนินการ COD เฟสแรกได้ 50 MW ภายในมกราคม 2562 และจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จครบทุกโครงการภายในปี 2565 ซึ่งส่งผลดีต่อการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทฯ ในระยะยาวตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้าอีกด้วย"นายฤทธี กล่าว